ความเป็นมา1


ตอน1 พบเซียนใหญ่ระดับประเทศ

       เมื่อปีพศ.2541 ผมได้ย้ายไปเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาถนนพัฒนาการ  ลูกน้องได้เดินเข้ามาในห้องผู้จัดการแล้วพูดว่า  ผู้จัดการ มีพระเครื่องมั๋ยครับ มีลูกค้าของเราคนหนึ่งเขาเป็นเซียนใหญ่ ให้เขาช่วยดูให้สิครับ” ผมจึงให้ไปเรียนเชิญเข้ามาในห้อง หลังจากสวัสดีกันเรียบร้อย ผมถอดสร้อยคอออกพร้อมยื่นพระซึ่งแขวนอยู่ 5 องค์ให้ดู  โอ้โห ทำไมถึงห้อยพระเยอะอย่างนี้ ห้อยองค์หรือสององค์ก็พอ พระดีๆอย่างนี้ แบ่งให้คนในครอบครัวห้อยบ้าง “ หลังจากนั้นพูดต่อว่า” องค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงปรกโพธิ์แท้นะหายากมาก อย่าให้ใครเขาหลอกว่าเป็นวัดบางขุนพรหมนะ”  ผมจึงพูดว่า “ผมเคยให้คนอื่นๆดู ทำไมเขาถึงบอกไม่ใช่ล่ะครับ” เขาพูดขึ้นว่า “ผู้จัดการรู้จัก ต้อย เมืองนนท์มั๋ย ผมนี่แหละอาจารย์ของต้อย เมืองนนท์ ในวงการเขารู้จักผมดี ในชื่อว่า เนี้ยว สำโรง หรือ มังกรตาเดียว ในห้องประชุมของหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจยังมีรูปผมติดแขวนอยู่ ในฐานะอาจารย์ของผู้อำนวยการสมศักดิ์ เจ้าของฐานเศรษฐกิจ ผมชอบส่องพระมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เดิมบ้านผมอยู่แถวสนามพระวัดราชนัดดา ผมชอบเข้าไปที่นั่นไปดูพระส่องพระ โดนพ่อไล่ตีและถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่ง เพราะคนในวงการพระเครื่องถูกกล่าวหาว่ามีแต่นักเลงและอันธพาล พระสมเด็จพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ของผู้จัดการ ผมว่ามีไม่เกิน 20 องค์ เพราะผมส่องพระมาทั้งชีวิตเพิ่งเคยเห็น องค์ และของผู้จัดการสวยที่สุด พวกเซียนที่ผู้จัดการให้ดู ในชีวิตเขาไม่เคยเห็นเลยบอกว่าไม่ใช่”  ผมถามต่อ " อย่างของผม ราคาสักเท่าไหร่ " "ประมาณ 500,000 บาท" "ทำไมราคาต่ำ เพราะเห็นบอกวัดระฆังเช่ากันหลายล้าน"  "ของแบบผู้จัดการ มีน้อยมาก ในวงการเขาไม่นิยมกัน ราคาเลยต่ำ ผมยังมีอยู่องค์หนึ่ง แต่ไม่เคยให้ใครดู เพราะขี้เกียจทะเลาะกับเขา"  "ของผมไปปล่อยได้ที่ไหน"  "ในวงการ ถ้าพูดราคาเท่าไหร่ หมายถึงว่าเขาพร้อมเช่า ผมพร้อมเช่าจากผู้จัดการในราคา500,000บาท "

          หลังจากนั้น โกเนี้ยว สำโรง หรือ มังกรตาเดียว หรือ อาจารย์มงคล เมฆมานะ ได้ถามว่าพระองค์ที่สอง ที่ผมแขวนได้มาอย่างไร ผมตอบไปแบบสั้นๆว่าพระรูปหนึ่งฝากพ่อให้เอามาให้ผม อาจารย์มงคลบอกว่า เคยมีอยู่องค์หนึ่งแบบเดียวกับของผมแต่หายไป เรียกกันในวงการว่า พระกำแพงลีลา พลูจีบ ว่านหน้าทอง ทุ่งเศรษฐี กำแพงเพชร  หายากมากๆ วันนั้นผมแขวนพระอยู่5องค์ อีก3องค์คือ หลวงปู่ทวด เนื้อว่าน97 วัดช้างให้ หลวงพ่อแก้ว พิมพ์กลางหลังเบี้ย วัดเครือวัลย์ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ปี2515 จากนั้นอาจารย์มงคลบอกว่า ท่านเองแขวนแค่2องค์เท่านั้น พร้อมถอดจากคอให้ผมดู องค์แรก สมเด็จวัดระฆัง องค์ที่สอง หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์



พานทองฉัตร5ชั้น
พระบรมสารีริกธาตูฉัตร5ชั้น


ตอนที่ 2  พลังจิตพลังลึกลับ


         ความจริงที่อาจารย์มงคลถามผมว่าพระองค์ที่สองผมได้มาอย่างไรนั้นเป็นเรื่องยาว  เมื่อปี พศ.๒๕๒๔ ผมเป็นหัวหน้าทีมในการรณรงค์แสวงหาเงินฝาก ในโอกาสย้ายสำนักงานใหญ่จากพลับพลาไชยมาสีลม ต้องออกชักชวนประชาชนย่านนั้นให้มาเป็นลูกค้า วันหนึ่งตรงหัวถนนคอนแวนต์ บริษัทชื่อinter para ทำเฟอร์นิเจอร์จากไม้ยางพาราขายทั้งในประเทศและส่งออก  ผมเดินเข้าไปและได้สนทนากับผู้จัดการ มองไปรอบๆตัวมีพนักงานประมาณ๒๐คน ผมพูดขึ้นว่า “ผมไปมาหลายแห่งแล้ว ไม่เห็นบริษัทไหน พนักงานดูท่าทางมีความสุขเหมือนพนักงานบริษัทของคุณเลย “ ผู้จัดการถามว่ารู้สึกทุกคนเหรอ “ ผมมองดูรอบๆพร้อมชี้มือไปที่พนักงานคนหนึ่งแล้วพูดว่ายกเว้นคนนี้คนเดียว  ปรากฏเสียงฮาดังขึ้นทั้งบริษัทฯ ผู้จัดการถามผมว่า “คุณทราบหรือไม่ว่าที่นี่นอกจากขายเฟอร์นิเจอร์แล้วทำอะไรอีก” “ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกสอนสมาธิแบบ TM(ทราบภายหลังtranscendental meditation ต้นตำหรับคือโยคีชื่อMaharishi)” ผมสนใจก็เลยสมัครเรียนเสียค่าเรียนถ้าจำไม่ผิดน่าจะ๔๐๐บาท ออกจากบริษ้ทฯเย็นวันนั้นก็ไปสยามสแควร์ เพื่อหาซื้อหนังสือที่ร้านดวงกมล ได้มาเล่มหนึ่งชื่อว่า พลังจิตพลังลึกลับ เนื้อหามีการกล่าวถึงสมาธิแบบTM นอกจากนี้กล่าวถึงดร.อาจอง ชุมสายฯ ได้รับรางวัลจากการส่งผลงานไปที่องค์การนาซ่า ที่จะเอายานอวกาศไปจอดที่ดาวอังคารโดยไม่ระเบิด ชิ้นส่วนนี้ดร.อาจองเห็นจากการนั่งสมาธิ ซึ่งดร.ฝึกจากครูชาวอังกฤษและครูชาวอังกฤษนี้ฝึกจากหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด ผมขีดใต้ชื่อหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาดเอาไว้ เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้พบชื่อของท่าน


หลวงตามหาบัว
หนังสือพลังจิต ดร.อาจอง หลวงตามหาบัว


ตอน 3 ประวัติพระอาจารย์หลวงปู่มั่น


          หลังจากนั้นธนาคารฯ ก็มีการเคลื่อนย้ายคนและสิ่งของจากสำนักพลับพลาไชยมาสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่สีลม มีการทิ้งสิ่งของที่ไม่ได้ใช้ต่างๆ ผมเดินไปเห็นหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งถูกทิ้งในถังขยะ  จึงหยิบขึ้นดู ประวัติหลวงปู่มั่น เขียนโดยหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด เก็บไว้แล้วเอาไปอ่านด้วยความสนใจ เพราะเป็นการเปลี่ยนโลกทัศน์ใหม่ของผม โดยเฉพาะประเด็นที่เมื่อพระอาจารย์หลวงปู่มั่นมรณภาพแล้ว อัฐิธาตุของท่านได้กลายเป็นพระธาตุ เหมือนเรื่องราวในพระไตรปิฎกที่เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วอัฐิธาตุของท่านได้แปรเปลี่ยนเป็นพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเมื่อแรกที่หลวงตามหาบัวได้เขียนหนังสือเล่าเรื่องพระอาจารย์หลวงปู่มั่น ว่าอาจารย์ของท่านเป็นพระอรหันต์นั้นไม่มีคนเชื่อถือ ขนาดมรว.คึกฤทธื์ ปราโมช ยังออกมาพูดว่า " ถ้าเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นอรหันต์ขี้ยา เพราะหลวงปู่มั่นยังสูบบุหรี่อยู่ คงเป็นเพราะหลวงตามหาบัวศรัทธาอาจารย์ของตนเกินไป " จนกระทั่งต่อมาภายหลังคนที่ไปร่วมงานเผาศพพระอาจารย์หลวงปู่มั่น ได้เก็บอัฐิธาตุของท่านกลับบ้านไปไว้บูชาด้วยความเคารพ เมื่อเรื่องราวของท่านพระอาจารย์หลวงปู่มั่นได้ถูกกล่าวถึงแพร่หลายในวงกว้าง จึงได้กลับบ้านไปเปิดดูอัฐิธาตุของท่านที่ตนเก็บไว้จากงานเผา ปรากฎสิ่งมหัศจรรย์ก็ปรากฎขึ้นต่อหน้า อัฐิธาตุของท่านได้แปรเปลี่ยนเป็นพระอัฐิธาตุ ทำให้ชื่อเสียงของท่านขจรขจายไปอย่างกว้างขวาง เป็นที่เคารพนับถืออย่างสูง นอกจากนี้ลูกศิษย์ของท่าน เช่น หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่แหวน เมื่อมรณภาพลงอัฐิธาตุล้วนแล้วแต่แปรสภาพเป็นพระอัฐิธาตุทั้งสิ้น สร้างความศรัทธาให้ผมอย่างยิ่ง
ประวัติท่านพระอาจารย์หลวงปู่มั่น โดยหลวงตามหาบัว



ตอน 4 พระบรมสารีริกธาตุ




 ช่วงเวลาปีนั้นพศ.๒๕๒๕ปลายปี ด้วยความศรัทธาปีพศ.๒๕๒๖ ๒๕๒๗และ๒๕๒๘ จะถือศีล๘และกินเจ ในทุกวันจันทร์ซึ่งเป็นวันเกิดและถือศีล๘กินเจ ตลอดสามเดือนของการเข้าพรรษา  วันหนึ่งน้องสาวชื่อ อมรา ชุติมาวงศ์ ทำงานอยู่ธนาคารออมสินถามว่า “พี่มอนอยากได้พระบรมสารีริกธาตุมั๋ย”  ช่วงนั้นคิดอยู่ในใจอยากได้มาบูชามากแต่ไม่เคยพูดให้ใครฟัง “เรามีเหรอ” “ที่ออมสินมีอยู่คนหนึ่งเขามีชื่อจิ๋ม ถ้าจะเอาต้องไปหา เจดีย์ไม้แก่นจันทร์ พานทอง ฉัตรห้าชั้น มาให้เขาเพื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ประการสำคัญคือต้องให้สัจจะกับเขาว่า จะต้องวางสูงกว่าพระพุทธรูป”  ความอยากได้ก็รับปากไป พอได้มาแล้วก็จัดโต๊ะหมู่บูชา ด้วยความที่คิดว่าไม่มีอะไรที่สูงกว่าพระพุทธรูปแล้ว พอจะเข้านอนก็นอนไม่หลับ เดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดอ่าน พระพุทธรูปถูกสร้างหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว๕๐๐ปี  โดยพระเจ้าเมนันเดอร์ที่๑ หรือพระยามิลินท์ กษัตริย์เชื้อสายกรีก ได้หันมานับถือและเลื่อมใสพุทธศาสนา ในการตั้งคำถามของพระเจ้ามิลินท์ต่อพระนาคเสน พระพุทธรูปที่เกิดขึ้นครั้งแรกเรียกว่าแบบคันธาราฐ โดยถ่ายแบบอย่างเทวรูปที่พวกกรีกนับถือกันในยุโรป อ่านแล้วสบายใจ เพราะพระพุทธรูปทำด้วยวัสดุต่างๆ แต่พระบรมสารีริกธาตูมาจากร่างกายของพระพุทธเจ้า คิดได้ดังนี้ก็หลับไปด้วยความสบายใจ


พระบรมสารีริกธาตุ เจดีย์ไม้แก่นจันทน์ พานทอง ฉัตร5ชั้น


ตอน 5 ฝันดี 


          คืนนั้น หลับและฝันเห็น พระพุทธเจ้าลอยอยู่บนท้องฟ้า ในอิริยาบถปางลีลาประจำวัน ผมได้แต่จ้องมองดู ได้ยินแต่เสียงก้องท้องฟ้าว่า "พระพุทธเจ้าเสด็จมาให้พร ยังไม่รับอีกแน่ะ"  สิ้นเสียง มองไปยังพระพุทธเจ้า มีสิ่งที่ลอยจากมือพระพุทธเจ้าลงมาจากท้องฟ้าลงมาหา ผมรีบแบมือรับ พอตกลงสู่มือ ก็กำ พอแบมือออก ไม่เห็นอะไร ด้วยความเสียดาย ก็ตื่นขึ้น ก็นอนคิดถึงฝันดีว่าจะมีความหมายอย่างไรนะ เลยลุกขึ้นไปหยิบหนังสือคู่มือทำนายไฝ ทำนายฝันและชี้โชค บุรีรัตนา ค้นคว้า รวบรวมจาก ตำหรับดั้งเดิม ทำนายว่า " ฝันเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ลอยมาบนฟ้า ทายว่า คุณจะมีโชค หรือจะมีชื่อเสียงโดยไม่นึกฝัน และชีวิตในอนาคตจะรุ่งโรจน์ชัชวาลย์"        ปีที่ฝันนั้นปลายปีพศ.2528 ต้นปีเดือนมีนาคม2529 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการสาขาสาธุประดิษฐ์ โดยไม่เคยทำงานสาขาในตำแหน่งใดๆมาก่อน เป็นที่พูดถึงและโจษจันกันอย่างมากในธนาคารๆ



คำทำนายฝัน



ตอน 6 ความฝันเริ่มส่งผล 



          วันหนึ่ง ได้ไปพบพ่อ พ่อบอกว่าพระฝากพระมาให้เราองค์หนึ่ง พอผมเห็นบอกพ่อว่า เหมือนพระที่ผมเห็นในฝันเลยแล้วเล่าให้พ่อฟัง พ่อเลยเล่าให้ฟังว่าได้พระองค์นี้มาได้อย่างไร พ่อของผมชอบเล่นพระเครื่อง เล่าว่าปกติปีหนึ่งจะไปสนามพระวัดราชนัดดาปีละครั้ง วันนั้นไปที่วัดฯเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งมาเดินหาเช่าพระประจำวันเกิด พ่อมีอยู่ก็เลยถวายท่านไป ท่านถามว่าราคาเท่าไหร่ พ่อบอกไม่คิดเงิน เป็นการทำบุญ หลังจากนั้นได้สนทนากัน ทราบว่าท่านเป็นรองเจ้าอาวาส อยู่ทางภาคเหนือ ชื่อวัดกับจังหวัด พ่อจำไม่ได้ พ่อบอกท่านไปว่า อยู่วัดทางเหนือถ้าวันหน้าลงมากรุงเทพฯ เอาพระทางเหนือมาฝากลูกชายสักองค์ เพราะลูกชายชอบ ผมบอกพ่อว่า ผมเคยพูดด้วยเหรอว่าผมชอบพระทางเหนือ พ่อบอกก็ไม่รู้แต่จำได้แบบนี้จึงพูดไป หลังจากนั้นอีกประมาณ3เดือน พ่อบอกนึกอย่างไรไม่รู้ ไปวัดราชนัดดาอีก ทั้งที่ปกติไปปีละครั้ง ไปแล้วไปพบพระที่พบครั้งที่แล้วอีก ท่านบอกมาตามหาโยม เพราะที่วัดของอาตมากำลังจะสร้างอุโบสถ ชาวบ้านเอาพระองค์นี้มาถวายให้อาตมาเอาไปปล่อยให้เช่าเพื่อจะได้เอาเงินมาทำบุญ อาตมาก็เลยนึกถึงลูกชายของโยม ฝากไปให้เขาด้วยแล้วกัน


ตอน 7 พระกำแพงลีลา พลูจีบ ว่านหน้าทอง กรุทุ่งเศรษฐี กำแพงเพชร

          
          พระกำแพงลีลา พลูจีบ ว่านหน้าทอง กรุทุ่งเศรษฐี กำแพงเพชร มาทราบภายหลังว่า เป็นพระที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต เป็นผู้ค้นพบจากการที่ท่านได้เสด็จประพาสไปในที่ต่างๆ ถึงวัดเสด็จ (เดิมชื่อวัดไชยพฤกษ์) สังเกตเห็นจอมปลวกอยู่แห่งหนึ่ง คือที่มณฑป พระพุทธบาทสวมไว้นั้น เป็นจอมปลวกที่ทอดพระเนตรเห็นที่วัดนี้ จึงเสด็จเข้าไปยืนหลับพระเนตรอยู่ประมาณ 10 นาที แล้วลืมพระเนตรตรัสกับพระยากำแพงเพชร (หลาน) ว่า ให้ขุดจอมปลวกเดี๋ยวนี้ มีใบเสมาจารึก เมื่อขุดจอมปลวกออกก็มีใบเสมาอยู่จริง เมื่อล้างน้ำดีแล้ว ท่านทรงอ่านและแปลศิลาจารึก พร้อมเสวยเพลในวัดนั้น เมื่อแปลจารึก ก็มีรับสั่งว่า มีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ฝากโน้น (ตะวันตก) คือแถบวังแปบ ให้รีบหาคนไปถากถาง พระยากำแพงผู้หลาน ได้จัดการตามรับสั่ง ก็พบพระบรมสารีริกธาตุ (ปัจจุบันคือวัดพระบรมธาตุ) องค์เจดีย์เดี๋ยวนี้สร้างใหม่แล้วไม่ใช่องค์เก่า ต่อมาจึงได้ย้ายเชลยชาวลาว 100 ครัวที่อยู่เกาะยายจัน วัดป่าหมู เป็นเสขะวัดเฝ้าพระบรมสารีริกธาตุ ไปอยู่ฝั่งตำบลนครชุม (คลองสวนหมาก) จนปัจจุบันนี้ ส่วนวัดไชยพฤกษ์กลายเป็นวัดเสด็จ เพราะสมเด็จพระพุฒาจารย์โต เสด็จประพาสวัดนี้ (ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไท-สยาม ปีที่ 20 ฉบับที่ 590 ธันวาคม 2546 ทายาทเจ้าเมืองกำแพงเพชร)
           
          จากหนังสือภาพพระเครื่อง 1 ประชุม กาญจนวัฒน์ ได้บรรยาย พระกำแพงพลูจีบ ไว้ว่า พระกำแพง "พลูจีบ" เป็นยอดพระลีลาชั้นหนึ่ง ในระดับเดียวกับพระกำแพงเม็ดขนุน พระเครื่องที่เรียกว่าพลูจีบนี้ ถึงแม้ว่าพิมพ์ออกจะค่อนข้างตื้นไปหน่อยก็ตาม แต่พุทธลักษณะลีลาด้วยศิลปแบบสุโขทัย ที่ปรากฎสู่สายตาท่านอยู่นี้ ก็นับว่าเป็นการเยื้องก้าวอีกแบบหนึ่ง ที่รุดไปเบื้องหน้าหน้าราวกับจะ " เหิน " กระนั้น
          พระกำแพงพลูจีบ กำเหนิดในรัชกาลของพระมหาธรรมราชาลิไทย ปฐมฤกษ์แห่งการพบกรุพระเครื่องที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งนับว่าเป็น " ปฐมทัศน์พระทุ่งเศรษฐี " กรุแรกได้นั้น ก็ด้วยเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ " โต พรหมรังสี " แห่งวัดระฆังฯ ได้ขึ้นไปเยี่ยมญาติที่เมืองกำแพงเพชร เมื่อพศ.2392และได้อ่านศิลาจารึก ( หลักที่3 ) ที่วัดเสด็จเข้า จึงรู้ว่าที่เมืองกำแพงเพชรนี้ ยังมีโบราณสถานและพระบรมธาตุ อยู่ทางทิศเหนือของฝั่งนครชุมขึ้นไปอีกแห่งหนึ่ง....
          ก็เป็นดังศิลาจารึกนั้นทุกอย่าง นั่นก็คือ การไปพบวัดพระบรมธาตุและพระเจดีย์ 3 องค์ ซึ่งพระมหาธรรมราชาลิไทย กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยองค์ที่ 5 ได้ทรงสถาปนาไว้ตั้งแต่เมื่อพศ.1900มาแล้ว ต่อมาเมื่อวัดพระบรมธาตุได้มีการบูรณะและปฏิสังขรณ์ขึ้นอีกครั้งนั้น ก็ได้มีการเปิดกรุที่องค์พระเจดีย์ดังกล่าว จึงพบกับพระพุทธรูป พระเครื่องและวัตถุโบราณอันมีค่าอีกมากมายในครั้งนั้น และจากพระเครื่องอย่างมากมายหลายพิมพ์นั่นเอง
          พระกำแพงพลูจีบ พบครั้งแรกที่กรุวัดพระบรมธาตุ เมื่พศ.2392 ต่อมายังพบที่กรุวัดพิกุลอีกครั้ง เมื่อประมาณพศ. 2470 และนานๆครั้ง ก็ยังเคยมีผู้พบที่กรุกลางทุ่งฯ เพียงองค์สององค์เท่านั้น ! พระกำแพงพลูจีบมีสร้างไว้ทั้งชนิดเนื้อว่าน เนื้อดิน เนื้อชิน ที่นิยมกันมากคือชนิดเนื้อดิน ซึ่งจะมีทั้งชนิดสีแดง เหลือง เขียว และดำ ส่วนเนื้อค่อนข้างกระด้าง แกร่งเหมือนเช่นพระเม็ดขนุนทุกอย่าง (ไม่เหมือนพระซุ้มกอ ซึ่งเนื้อจะนุ่มมาก)
          พระกำแพงพลูจีบ จัดเป็นพระเครื่องประเภท " ยอดหายาก " ที่สุด สำหรับในด้านพระพุทธคุณ ซึ่งนอกจากจะเป็น พระให้โชคให้ลาภแล้ว ในด้านแคล้วคลาดคงกระพันก็มี


พระกำแพงลีลาพลูจีบ ว่านหน้าทอง กรุทุ่งเศรษฐี


ตอน 8 มีโชคหรือมีชื่อเสียงโดยไม่นึกฝัน


         หลังจากได้พระกำแพงลีลา พลูจีบ ว่านหน้าทอง มาแขวนห้อยบูชาแล้ว ปรากฎว่า ฐานะรายได้ดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เพราะช่วงเวลานั้นปีพศ.2529-2534 เศรษฐกิจไทยกำลังบูมขยายตัวอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การเข้าไปลงทุนในด้านนี้ สามารถซื้อที่ดินสร้างบ้านหลังใหม่ได้ จึงได้เดินทางไปพบหมอดูชื่อ อาจารย์ประภาส อยู่ที่ริมถนนข้างกำแพงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งการไปพบครั้งแรกเพราะเพื่อนสนิทชื่อสมชาย วิกรานต์ มาขอร้องและกำชับว่า "จะมาขอให้ทำอะไรเรื่องหนึ่งและเมื่อฟังแล้วห้ามหัวเราะหรืออำ " พอรับปาก "ขอร้องให้ไปดูหมอ บอกแม่นจนเหลือเชื่อ" พอได้ยินครั้งแรกขยับปากจะอำเพราะไม่เชื่ิอ แต่สมชายบอกรับปากแล้ว เลยไปดู แม่นจริงๆ จนเหลือเชื่อว่าจะทำนายอะไรได้แม่นจนขนาดนี้ ค่าดูก็แสนถูกเพียง30บาทเท่านั้น
          
           การไปพบครั้งนี้ เพื่อจะไปขอฤกษ์ในการลงเสาเอกบ้านหลังใหม่ อาจารย์ประภาสบอกว่า ฤกษ์ให้ไม่เป็น ให้ไปหาหลวงพ่อกิตติมา คณะสอง วัดปรินายก เมื่อไปพบ หลวงพ่อให้ฤกษ์เสร็จ ก็ทำนายทายทักว่า " โยมอมร ที่บ้านมีพระสมเด็จฯอยู่แล้ว 2 องค์ โยมจะได้พระสมเด็จฯเข้าบ้านอีก 1 องค์ "


ตอน 9 พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงปรกโพธิ์


           วันนั้นได้ไปพบพ่อ พ่อบอกว่า " พ่อโชคดีมากๆ ได้พระสมเด็จฯวัดระฆังมาหนึ่งองค์ " พ่อเล่าว่าไปเดินอยู่ริมกำแพงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งกายคล้ายข้าราชการ เดินเข้ามาหาพ่อพร้อมถามว่า " ลุงเช่าพระมั๋ย " พร้อมแบมือออกให้ดูพระ พ่อบอกพอเห็นก็คิดว่าเป็นพระสมเด็จฯถามไปว่า "เท่าไหร่ " หนุ่มคนนั้นตอบว่า "พระแบบนี้แพงไม่ใช่หรือ " พ่อบอกว่า " ถ้าแพง ลุงไม่มีเงินเช่าหรอก มีแบงค์ร้อยเลขเก้าหน้าเก้าหลังอยู่สามใบ เก็บติดกระเป๋ามาหลายปีแล้ว ขอลุงเก็บไว้หนึ่งใบ หลานเอาไปสองใบก็แล้วกัน " หนุ่มคนนั้นก็ตกลง พ่อก็ส่งพระสมเด็จองค์นั้นให้ผมดู ผมก็เลยบอกพ่อไปว่า " มีพระทำนายว่า ผมจะได้พระสมเด็จฯเข้าบ้านอีกองค์ พ่อให้ผมเถอะ " พ่อก็เลยบอกว่า "เอาพระสมเด็จเกศไชโย องค์ที่ห้อยอยู่คืนมาแล้วเอาองค์นี้ไป " ผมก็เลยแขวนพระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงปรกโพธิ์นี้ต่อมา


พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงปรกโพธิ์



ตอน 10 เซียนว่าแท้ก็ชม ว่าเก๊ก็ด่า



          หลังจากที่ผมได้พบกับอาจารย์มงคล เมฆมานะหรือเซียนเนี้ยว สำโรงแล้ว ก็กลับมาเล่าให้พ่อฟังว่า เขาบอกว่าสมเด็จปรกโพธิ์องค์นี้แท้นะ พ่อบอกว่าเซียนคนนี้เก่ง เอาพระไปให้เขาดูอีก พอเอาไปให้ดู อาจารย์มงคลบอกว่าเก๊ พอเล่าให้พ่อฟัง พ่อของขึ้นด่าทอเป็นการใหญ่ เซียนห่าเหวอะไร พระแบบนี้ว่าเก๊ ไม่ต้องเอาไปให้ดูแล้ว 
          ผมปกติไม่ได้สนใจว่าพระองค์ไหนแท้องค์ไหนเก๊ พ่อให้พระองค์ไหนมาก็ห้อยมาตั้งแต่เด็ก สนใจแต่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและการปฏิบัติ ปีพศ.2543 ผมไปบวชที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่ เพราะอยากจะเข้าหลักสูตร อธิษฐาน นั่งสมาธิไม่นอน 3 วัน 3 คืน ว่าจะทำได้หรือไม่ ปรากฎผลสุดท้ายสามารถทำได้ผ่านหลักสูตรนี้ แต่ขณะบวชอยู่เป็นอย่างไรไม่ทราบนึกถึงแต่เรื่องพระเครื่อง สึกออกมาไปทำงานที่ธนาคาร สำนักงานใหญ่ เพราะอยู่สาขาถนนพัฒนาการปีเดียว ประธานกรรมการบริหารธนาคาร-คุณโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ได้ทำหนังสือถึงคุณชาตรี โสภณพนิช-ประธานกรรมการธนาคารว่า ในการรับตำแหน่งครั้งนี้ ได้วางแนวทางบริหารงานไว้ 4 ด้านเสนอให้พิจารณา คุณชาตรีจึงขอความเห็นไปที่คุณปิติ สิทธิอำนวย-รองประธานกรรมการธนาคาร คุณปิติบอกเห็นด้วยอย่างยิ่งพร้อมเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้เชื่อมให้แผนงานที่วางไว้สามารถบรรลุผล นั่นก็คือ อมร ชุติมาวงศ์ มาช่วยงานด้านการตลาด ของผู้อำนวยการด้านสาขานครหลวง-ดรบุญญรักษ์ นิงสานนท์
          วันหนึ่งนั่งทำงานอยู่ ผู้จัดการรุ่นพี่ชื่อพี่จรัล มาคุยด้วยแล้วพูดคุยเรื่องพระเครื่อง จึงให้ดูพระในคอ พี่จรัลยกมือไหว้และขอร้องว่า ช่วยไปท่าพระจันทร์สักวันหนึ่ง พี่จะเลี้ยงข้าว เพราะจะให้อาจารย์ของพี่ดูพระสมเด็จฯของผม ตกลงถึงวันนัดก็ไปพบเซียนบิ ท่าพระจันทร์ เซียนบิยกกล้องขึ้นส่องแล้วบอกว่า ไม่ใช่สมเด็จวัดระฆัง ผมฟังแล้วก็เริ่มครุ่นคิดว่า วงการพระเครื่องเขาใช้มาตราฐานอะไรตัดสิน เซียนเนี้ยว สำโรงบอกพร้อมเช่าเราในราคา 5แสนบาท เซียนบิ ท่าพระจันทร์บอกไม่ใช่ เซียนที่เป็นพ่อ ชมเซียนที่บอกว่าแท้ ด่าถ้าบอกว่าเก๊ แล้วพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาทำนายว่า " บ้านโยมอมร มีพระสมเด็จอยู่แล้ว 2 องค์ โยมจะได้พระสมเด็จเข้าบ้านอีกองค์ "  ตกลงควรจะเชื่อใครดี คิดแล้วก็ตัดสินใจเลยว่า ในชีวิตทำอะไรมาได้ตั้งเยอะ แค่ศึกษาพระสมเด็จ จะทำไม่ได้เชียวหรือ เซียนยังรู้ได้ตัดสินซื้อขายได้ ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้ เลยตัดสินใจกระโดดเข้าศึกษาตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

                      



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น