ความเป็นมา2

ความเป็นมา 2



* ตามล่าหาความจริง


ปีพ.ศ.๒๕๓๔ ได้รับการทำนายทายทักจากพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมา คณะ ๒ วัดปรินายก ว่า บ้านโยมมีพระสมเด็จอยู่แล้ว ๒ องค์ แต่โยมจะได้พระสมเด็จเข้าบ้านอีกองค์หนึ่งนะ จากนั้นพ่อก็ได้มาและขอจากพ่อ โดยบอกพ่อว่า มีพระทำนายว่าที่บ้านมีพระสมเด็จอยู่แล้ว ๒ องค์ จะได้พระสมเด็จเข้าบ้านอีกหนึ่งองค์ พ่อบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเอาพระสมเด็จเกศไชโยที่ให้ไว้คืนมาและเอาพระสมเด็จปรกโพธิ์ที่พ่อเพิ่งได้มาไปแทน นอกจากนี้พ่อยังบอกอีกว่า บ้านเรามีพระสมเด็จมากกว่า ๒ องค์ พ่อชอบสะสมพระเครื่องมาก ผมชอบที่จะแขวนบูชาเท่านั้น ได้พระสมเด็จปรกโพธิ์มาก็แขวนบูชาเรื่อยมา จนเคยฝากให้เพื่อนสนิทชื่ิอศิริเดช เลิศภิรมลักษณ์ ซึ่งเป็นเพื่อนรักของต้อย เมืองนนท์ นำไปให้ต้อย เมืองนนท์ดู ศิริเดชบอกว่า ต้อย เมืองนนท์ ดูแล้วบอกว่าแท้ พร้อมยกย่องเพื่อนรักของตนเองว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ผมเองก็ดีใจได้ของแท้ของดีไว้แขวนบูชา จนวันหนึ่งย้ายไปเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพจำกัดจากสาขาสวนพลูไปสาขาถนนพัฒนาการ ได้พบกับลูกค้าเงินฝากรายใหญ่ ทราบว่าชื่อมงคล เมฆมานะหรือฉายาในวงการพระเครื่องคือ มังกรตาเดียวหรือเนี้ยว สำโรง ซึ่งเป็นอาจารย์ของต้อย เมืองนนท์อีกด้วย ดูพระสมเด็จปรกโพธิ์ให้และบอกว่าเป็นวัดระฆังแท้ พร้อมกำชับว่า อย่าให้ใครเขาหลอกว่าเป็นสมเด็จบางขุนพรหมนะ หายากมากทั้งชีวิตเคยเห็นแค่ ๓ องค์ องค์ของผมนี่สวยที่สุด เชื่อว่าพระพิมพ์นี้มีอย่างมากไม่เกิน ๒๐ องค์ เพราะส่องพระมาตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ วันที่ส่องอายุ ๗๐ ปีแล้ว ยังเห็นแค่ ๓ องค์ พอถามว่าทำไมให้เซียนคนอื่นดู เขาถึงบอกไม่ใช่ ตอบว่า เซียนคนอื่นไม่เคยเห็นน่ะสิ ท่านบอกว่า ความจริงท่านก็มีอยู่องค์หนึ่ง แต่ยังไม่ให้เซียนคนอื่นดูเลยเพราะขี้เกียจทะเลาะกับเขา พร้อมถามผมว่า รู้จักต้อย เมืองนนท์ไหม นั่นนะลูกศิษย์ของผม เคยถามต้อย เมืองนนท์ๆยอมรับว่าจริง พอถามถึงราคาอาจารย์มงคลบอกว่า ๕แสนบาท ถามต่อว่า ทำไมหนังสือพิมพ์ถึงลงองค์ละตั้งหลายล้าน ท่านบอกว่า พิมพ์นี้มีน้อยหายาก คนเลยไม่นิยมกัน วันนั้นผมฟังแล้วงงมาก น้อยหายากคนไม่นิยมราคาเลยถูก ขัดกับหลักเศรษฐศาสตร์น้อยหายากราคาต้องสูง เลยถามต่อว่า แล้วถ้าผมอยากจะปล่อยไปปล่อยได้ที่ไหน ท่านบอกว่า ในวงการพระเครื่องถ้าพูดว่าเท่าไหร่ หมายถึงว่าพร้อมจะเช่า ท่านบอกว่า ๕๐๐,๐๐๐บาท หมายความว่า ท่านพร้อมจะเช่าที่ราคา ๕๐๐,๐๐๐บาท ต่อมาภายหลังเมื่อพบกันอีก ถามท่านว่าราคาเท่าไหร่ ท่านบอกว่า ล้านถึงสองล้าน

ผมกลับไปบ้านเล่าให้พ่อฟังว่า พระสมเด็จปรกโพธิ์ ที่พ่อให้ผม มีเซียนบอกว่าแท้นะ พ่อชมใหญ่ บอกเซียนคนนี้เก่ง พร้อมกับฝากพระสมเด็จไปให้อาจารย์มงคลดูอีก กลับมาบอกพ่อว่า "เก๊ " เท่านั้นแหละ พ่อด่าทอใหญ่ เซียนห่าเหวอะไร ดูพระแบบนี้ว่าเก๊ ไม่ต้องไปให้ดูอีกแล้ว พร้อมกำชับว่าไม่ต้องเชื่อเซียน ให้เชื่อพ่อ

ปีต่อมาย้ายจากสาขาถนนพัฒนาการเข้าไปเป็น ผู้ช่วยผู้อำนวยการสาขานครหลวงด้านการตลาด ผู้จัดการรุ่นพี่ชื่อพี่จรัล ชอบสะสมพระเครื่องเช่นกัน เมื่อได้ส่องพระสมเด็จปรกโพธิ์แล้ว ยกมือไหว้ขอร้องให้ผมไปหาอาจารย์บิ ท่าพระจันทร์ อาจารย์ของแกเพื่อให้ดูว่าใช่ พระสมเด็จวัดระฆังหรือไม่ พร้อมเลี้ยงข้าวผมหนึ่งมื้อ อาจารย์บิส่องเสร็จบอก เป็นพระเกจิ ผมไม่เข้าใจ ถามว่า เกจิแปลว่าอะไร เขาบอกว่า ไม่ใช่สมเด็จวัดระฆังที่สมเด็จโตสร้าง แต่เป็นพระองค์ไหนสร้างไม่รู้ เขาเรียกว่าพระเกจิ 

ทำให้ผมเริ่มมึนงงและสงสัยมากขึ้นว่า ในวงการพระเครื่องเขาใช้มาตราฐานใดวัดว่าองค์นี้เก๊ องค์นี้แท้ องค์นี้มีราคา องค์นี้ไม่มีราคา จากนั้นปลายปีพ.ศ.๒๕๔๓ ผมไปบวชที่วัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่ เพื่อจะไปแสวงหาความจริงว่า หลักสูตรนั่งสมาธิที่นี่ ถ้ามีบุญพอจะสามารถเข้าสู่หลักสูตร อธิษฐาน คือ สามารถเดินจงกรมและ นั่งสมาธิ ได้ติดต่อกัน ๓วัน ๓คืน โดยไม่เอนหลังนอนได้ ท้ายที่สุดก็มีบุญพอ เพราะสามารถทำได้หลังจากบวชได้ทั้งสิ้น ๓๙ วัน แต่เพราะเหตุใดไม่ทราบ ขณะบวชอยู่คิดถึงแต่เรื่องพระเครื่อง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่ได้สนใจศึกษาเรื่องพระเครื่องเลย สนใจแต่พระธรรมคำสั่งสอน

ผมได้อ่านสิ่งที่ตนเองบันทึกไว้ว่า "วันนี้ พฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๕ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑ เป็นอันยุติได้สำหรับพระเครื่อง หลังจากที่ได้ศึกษาและแสวงหา โดยลงทุนทั้งเวลาและทรัพย์สินเงินทองไปรวมระยะเวลา ๒ ปีเต็มๆ หลังจากวันลาสึกจากเพศบรรพชิต โดยมีหนังสือข้อมูลพื้นฐานจากการอ่านขณะบวช ข้อมูลจากท่านพระอาจารย์เสริมชัยในหนังสือ กล่าวว่าในโบถส์วัดปากน้ำ มีพระเกจิอาจารย์หลายท่านอยู่ที่นั่น ขณะบวชมีความคิดอยากได้หลวงพ่อเงิน บางคลาน มาบูชา เมื่อสึกปู่พงษ์ (พ่อชื่อสุรพงษ์)ให้เต่าเรือนหลวงพ่อเงินมา ๑ องค์ ปรากฎว่าตรงกับในหนังสือ เปิดกรุ วัตถุอาถรรพณ์ รวบรวมโดย เสมา ท่าพระ แต่เมื่อให้คนในวงการพระเครื่องดู ปรากฎว่า เขาว่าในวงการไม่ยอมรับ อ้างว่าเป็นการยัดเยียดวัดให้ หลังจากนั้นก็ตะลุยเรื่อยมา ทั้งวันทั้งคืน อ่านหนังสือ ไปตามงานประกวด ฯลฯ"


 ตามล่าหาความจริงปีพ.ศ.2544


ขอเล่าย้อนหลัง เมื่อสึกแล้ว ต้นปีพ.ศ.๒๕๔๔ ได้ไปที่สถาบันโบราณศิลป์ ถนนวิภาวดี เพราะทราบว่าจะมีการประกวดพระเครื่อง ไปเดินดูในงาน เห็นพระอยู่ในตู้สวยงามดี เดินเข้าไปถาม พระอะไร เขาบอกจตุคามรามเทพ รุ่นแรก องค์ละ ๓,๐๐๐บาท แต่ก็ไม่ได้เช่าเพราะไม่เคยเช่าพระมาก่อน เดินต่อไปได้แผ่นพับ มีทั้งรายชื่อและรูปถ่ายกรรมการตัดสินพระเบญจภาคี ตัดสินใจเลยได้การแล้ว ในการเริ่มต้นศึกษาพระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ เดินทางไปพบ แต่คำตอบคือไม่ใช่ แทบจะทุกคน ยกเว้น มงคล เมฆมานะ (เนี้ยว สำโรง) พิศาล เตชะวิภาค(ต้อย เมืองนนท์) และ บรรจง เลิศปัญญางาม (จั๊ว ตลาดพลู)


เมื่อผมตัดสินใจ ที่จะเดินหน้าค้นคว้าหาความจริงเกี่ยวกับพระเครื่องของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)แล้ว สิ่งเริ่มต้นของผม ก็คือ ในวงการพระเครื่องเขายอมรับใครกันว่า เป็นระดับอาจารย์ของพวกเขา ได้รับทราบว่า มีคณะกรรมการตัดสินพระเบญจภาคีอยู่ 9คน ด้วยกัน ผมจึงเดินทางไปพบ คือ

1วิวัฒน์ เรืองพรสวัสดิ์ ไปพบที่ดิโอลด์สยาม เอาพระสมเด็จวัดระฆังปรกโพธิ์ องค์ที่พระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาทำนายทายทักว่า บ้านโยมมีสมเด็จอยู่แล้ว 2 องค์ โยมจะได้สมเด็จเข้าบ้านอีก 1 องค์ แล้วพ่อก็ได้มาและมอบให้ผม อาจารย์วิวัฒน์ยกกล้องขึ้นส่อง แล้วบอกว่าสมเด็จวัดระฆัง หลังจากนั้นขอแกะตลับออกดู พอส่องหลังพระเสร็จ บอกว่า ไม่ใช่วัดระฆัง เพื่อนของอาจารย์ที่นั่งร่วมโต๊ะเอาไปส่องบ้างบอกว่า ผมว่าใช่สมเด็จวัดระฆังนะ การได้พบกันวันนั้น ได้ความรู้จาก อาจารย์วิวัฒน์ว่า การเช่าพระก็เหมือนกับได้บัตร ATMพกไว้ เมื่อไหร่จำเป็นต้องใช้เงิน ต้องสามารถนำไปปล่อยแลกเป็นเงินสดได้

2 ประจำ อู่อรุณ ไปพบที่ปิ่นเกล้า ส่องเสร็จบอกว่า ไม่ใช่สมเด็จวัดระฆัง

3 มงคล เมฆมานะ หลังจากพบกันครั้งแรกที่ห้องทำงานของผมแล้ว ก็ไปพบที่งานประกวดพระเครื่องบ้าง อาจารย์ก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ว่าเป็นสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ของอาจารย์เองก็มีอยู่ 1 องค์ แต่ไม่ได้ให้คนในวงการดูเพราะขี้เกียจทะเลาะกับเขา

4 กิติ ธรรมจรัส ไปพบที่ท่าพระจันทร์ ส่องเสร็จบอกว่าไม่ใช่ พอบอกว่า ทำไมอาจารย์มงคล เมฆมานะ บอกว่าใช่ อาจารย์กิติหรือเฮียกวงหัวเราะแล้วพูดว่า "โกเนี้ยวบอกว่าใช่ เพราะจะเอาใจผู้จัดการน่ะสิ วันหลังเจอจะถามว่าใช่จริงหรือ" วันหนึ่งเจอกันที่งานประกวดของสมาคมพระเครื่องฯ เฮียกวงถามโกเนี้ยวจริงๆ แต่โกเนี้ยวไม่พูดไม่ตอบแต่อย่างใด

5 อุดม กวัสราภรณ์ ไม่ได้ไปพบ

6 สังวร ขจรรุ่งศิลป์ ไม่ได้ไปพบ

7 สมศักดิ์ จวงสวัสดิ์ ไปพบที่บ้านประตูสีเขียว แถวถนนพระอาทิตย์ ตอนไปพบ เจอคุณตฤน โอษฐิศ นั่งอยู่ด้วย ส่องแล้วบอกไม่ใช่

8 พิศาล เตชะวิภาค หรือต้อย เมืองนนท์ บอกว่าใช่สมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ ความจริงส่วนตัวรู้จัก ต้อย เมืองนนท์ มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น เพราะเพื่อนบ้านที่สนิทของผม เป็นเพื่อนสนิทของต้อยที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัย 

9 อนุศักดิ์ นารถกุลพัฒน์ หรืออ้า สุพรรณ บอกไม่ใช่

นอกจากนี้ ยังได้เจอเซียนท่านอื่นๆอีกหลายคน ที่บอกว่าใช่มี จั๊ว ตลาดพลู ที่บอกไม่ใช่มีเยอะหน่อย เช่น อั้ง เมืองชล ตี๋เหล้า ท่าพระจันทร์ ชาติ สมปอง  อาจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ฯลฯ นอกจากพบเซียนใหญ่ในวงการพระเครื่องแล้ว ยังได้หาซื้อหนังสือพระเครื่องเกี่ยวกับสมเด็จโต และพระสมเด็จ มาอ่านและศึกษาอีก แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างอย่างไร ในการใช้เกณฑ์ใดพิจารณา มีแต่คำว่า ใช่หรือไม่ใช่ เก๊หรือแท้ เท่านั้น


ประสบการณ์กับพระอาจารย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิจิตร


ขอเล่าแทรก มีอยู่วันหนึ่ง พ่อยื่นพระเนื้อดินให้องค์หนึ่ง บอกว่า ของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ผมบอกพ่อไปว่า มีที่ไหนล่ะพ่อ พิมพ์นี้ ไม่มีของหลวงพ่อเงิน พ่อบอก ก็คนให้พ่อมาตั้งแต่พ่อยังหนุ่ม บอกมาอย่างนี้ อย่าไปเชื่อเซียนมาก เซียนรู้ไม่หมดหรอก ผมก็นำพระองค์นั้นกลับบ้าน ตอนกลางคืนก่อนนอน ก็เอาพระองค์นั้นมาใส่ในมือ แล้วนั่งสมาธิพร้อมอธิษฐานว่า ถ้าเป็นของหลวงพ่อเงินจริง ขอให้ท่านมาบอกทางใดทางหนึ่ง เมื่อนั่งสมาธิเสร็จแล้ว ก็ล้มตัวลงนอน คืนนั้นฝันว่า ได้เดินไปพบเพื่อนผู้หญิงชื่อ จิ๋ม-สุพัตรา ยืนหันหลังกำตลับพระอยู่ เมื่อเขาหันกลับมา ตลับพระตรงหน้าไม่เห็นองค์พระ แต่ปรากฎเหมือนเป็นผ้าม่านแผ่ลงมา เป็นรูปหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน มีตาลปัตรอยู่ ๒ ข้างของท่าน ตื่นนอนมาด้วยความแปลกใจว่า คิดมากไปหรือเปล่าถึงฝันแบบนี้ ไปถึงที่ทำงาน ธนาคารกรุงเทพจำกัด สำนักงานใหญ่ ผมทำงานอยู่ตึกนี้ จึงเดินเข้าไปในซอยละลายทรัพย์ ไปตึกตรีทิพย์ ขึ้นไปชั้น ๗ เพื่อไปหาเพื่อนชื่อจิ๋ม-สุพัตรา ที่ฝันถึงเขาเมื่อคืน ไปถึงคนถามผมกันใหญ่ ทำไมมาถึงตึกนี้เพราะปกติไม่เคยเห็นผมมา ผมเข้าไปถามจิ่ม-สุพัตรา ว่าเธอนับถือศาสนาคริสต์ใช่ไหม ช่วยเอ่ยชื่อพระไทยที่เธอรู้จักให้ฟังสักองค์หนึ่ง จิ๋ม-สุพัตรา เอ่ยว่า "หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิจิตร ที่มีตาลปัตร ๒ ข้าง" ผมขนลุกขึ้นมาทั้งตัวพร้อมถามว่า ทำไมเธอถึงรู้จักพระองค์นี้ เขาตอบว่า ฉันก็รู้จักองค์เดียวนี่แหละ เพราะสามีฉันเป็นพุทธ มีพระองค์นี้อยู่กลางบ้าน เขียนว่าหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน มีตาลปัตรอยู่ ๒ข้าง ผมก็เลยเล่าให้เขาฟังถึงความฝันและลงไปซื้อพวงมาลัยดอกไม้ฝากเขาเอากลับไปกราบหลวงพ่อที่บ้านด้วย เวลาเอาพระองค์นี้ให้คนในวงการพระเครื่องดู ไม่มีใครรู้จัก จนเวลาผ่านไปหลายปีเข้าไปท่องในเวป ปรากฏข้อมูลว่า พระเนื้อดินพิมพ์นั้นมีการค้นพบที่วัดราชนัดดา กทม. และที่วัดบางคลาน พิจิตร ในวงการจึงคิดว่าเป็นพระของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ปลุกเสกจริง

ขอเล่าย้อนหลัง เมื่อสึกแล้ว ต้นปีพ.ศ.๒๕๔๔ ได้ไปที่สถาบันโบราณศิลป์ ถนนวิภาวดี เพราะทราบว่าจะมีการประกวดพระเครื่อง ไปเดินดูในงาน เห็นพระอยู่ในตู้สวยงามดี เดินเข้าไปถาม พระอะไร เขาบอกจตุคามรามเทพ รุ่นแรก องค์ละ ๓,๐๐๐บาท แต่ก็ไม่ได้เช่าเพราะไม่เคยเช่าพระมาก่อน เดินต่อไปได้แผ่นพับ มีทั้งรายชื่อและรูปถ่ายกรรมการตัดสินพระเบญจภาคี ตัดสินใจเลยได้การแล้ว ในการเริ่มต้นศึกษาพระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ เดินทางไปพบ แต่คำตอบคือไม่ใช่ แทบจะทุกคน ยกเว้น มงคล เมฆมานะและพิศาล เตชะวิภาค

ขอเล่าย้อนหลัง เมื่อสึกแล้ว ต้นปีพ.ศ.๒๕๔๔ ได้ไปที่สถาบันโบราณศิลป์ ถนนวิภาวดี เพราะทราบว่าจะมีการประกวดพระเครื่อง ไปเดินดูในงาน เห็นพระอยู่ในตู้สวยงามดี เดินเข้าไปถาม พระอะไร เขาบอกจตุคามรามเทพ รุ่นแรก องค์ละ ๓,๐๐๐บาท แต่ก็ไม่ได้เช่าเพราะไม่เคยเช่าพระมาก่อน เดินต่อไปได้แผ่นพับ มีทั้งรายชื่อและรูปถ่ายกรรมการตัดสินพระเบญจภาคี ตัดสินใจเลยได้การแล้ว ในการเริ่มต้นศึกษาพระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ เดินทางไปพบ แต่คำตอบคือไม่ใช่ แทบจะทุกคน ยกเว้น มงคล เมฆมานะและพิศาล เตชะวิภาค

ตามล่าหาความจริงปีพ.ศ.๒๕๔๕

ประสบการณ์กับพระอาจารย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา

ในช่วงที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระเครื่อง ก็ได้พบชื่อหลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา ก็นึกในใจว่าชื่อท่านและชื่อวัด ช่างรับกันจริงกับความเป็นพระบ้านนอก (บ้านนอกไม่ใช่การกล่าวดูถูกนะครับ หมายถึงว่าเป็นชื่อบ้านๆของชาวไทย) จนวันหนึ่งไปงานศพพ่อของเพื่อนผู้จัดการที่ธนาคาร ได้รับหนังสืออนุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงศพ นายชนะ กฤตยาพงศ์พันธุ์ เป็นกรณีพิเศษ ณ ฌาปนสถานกองทัพอากาศ วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร กทม. วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ชื่อหนังสือ ผลไม้ในสวนธรรม เป็นหนังสือที่รวบรวมคติธรรมและอุบายภาวนาของครูอาจารย์มากมายหลายท่าน หนึ่งในนั้นคือท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา (๒๔๔๗-๒๕๓๓) คติธรรมของหลวงปู่ดู่ได้บันทึกไว้ว่า


ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เหมือนรสแกงส้ม

ศีล เปรียบได้กับรสเปรี้ยว ความเปรี้ยวทำหน้าที่กัดกร่อนความสกปรกออก ทำนองเดียวกัน ศีลจะช่วยขัดเกลาความหยาบออกจากทาง กาย วาจา ใจ
สมาธิ เปรียบได้กับรสเค็ม เพราะความเค็มช่วยรักษาอาหารต่างๆไม่ให้เน่าเสีย สมาธิก็เหมือนกัน สามารถรักษาจิตของเรา ให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีได้
ปัญญา เปรียบได้กับรสเผ็ด เพราะปัญญามีลักษณะคิด อ่าน ตริตรอง โลดแล่นไป เพื่อขจัดอวิชชาความหลง

เมื่อผมอ่านจบลง รู้สึกว่าผลไม้ของท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดู่ ผลนี้ช่างถูกปากของผมเหลือเกิน เกิดความรู้สึกอยากได้พระเครื่องของท่านมาไว้บูชาสักองค์หนึ่ง โดยไม่ทราบว่าท่านสร้างพระเครื่องไว้กี่รูปแบบ รุ่นไหนเป็นที่นิยมกันบ้าง จากนั้นไม่กี่วัน รุ่นน้องในธนาคารชื่อ ตุ้ม มาพูดกับผมว่า ผมมีพระจะให้พี่องค์หนึ่ง ผมเจออยู่ในลิ้นชักหน้ารถผม พร้อมยื่นมาให้ เป็นพระเนื้อผง พระเนื้อผงจักรพรรดิ์ พิมพ์พระพุทธเหนือพรหม มาทราบภายหลังว่า เป็นพระของหลวงปู่ดู่ ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มุลเหตูการสร้าง "พระเหนือพรหม" มาจากบทพระพุทธมนต์ "พาหุง" ในบทที่ ๘ ใจความว่า เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะ ผกาพรหม ผู้มีทิษฐิแรงกล้า สำคัญว่าตนเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุด แต่พระพุทธเจ้าทรงสามารถทำให้ยอมละทิ้งทิฏฐิมานะและยอมรับว่าพระพุทธเจ้าสูงกว่า ถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะทิฏฐิมานะของคน หลวงปู่ดู่ ซาบซึ้งในบทพระพุทธมนต์บทนี้ จึงจัดสร้าง " พระเหนือพรหม" จัดสร้างช่วงแรกปี ๒๕๑๗ มีเนื้อเดียว คือ เนื้อผงสีขาว หรือที่เรียกกันว่า "ผงมหาจักรพรรดิ์" ที่หลวงปู่ดู่ลบผงด้วยตัวท่านเอง พระบางองค์มีคราบสีเหลือง เพราะนำพระเหนือพรหมแช่น้ำชาที่ชงดื่ม หลังจากนั้นปี ๒๕๓๑ หลวงปู่ดู่ จึงสร้างพระเหนือพรหมขึ้นมาอย่างเป็นทางการอีกรุ่น ที่พิเศษของรุ่นนี้คือ ผสมเส้นเกศาลงไปด้วย พิมพ์ทรงลักษณะเดิม เปลี่ยนแปลงเพียงแค่รูปในหน้าพระพรหม ที่มีความคมชัดมากกว่ารุ่นแรก พระเหนือพรหมเนื้อผง ในยุคแรกนั้น จะไม่ปั๊มยันต์หมึกรูปกงจักร ซึ่งปั๊มหลังจากมรณภาพและคณะกรรมการวัดสะแกในสมัยนั้นเข้าไปสำรวจทรัพย์สินทั้งหมด และจึงทำยันต์ปั๊มออกมา เพื่อป้องกันการปลอมแปลง


ผมทราบต่อมาว่า น้องชายของตุ้มเป็นศิษย์ของหลวงปู่ดู่และเคยบวชด้วย ตุ้มบอกพระองค์ที่ให้ผมนั้น ได้มาจากน้องชาย บอกน้องยังเคยจัดสร้างพระถวายให้หลวงปู่ดู่ด้วย ในโอกาสสร้างเป็นที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพให้คุณพ่อภักดี พัฒนภักดี ๒๕ เมษายน ๒๕๔๑ โดยหลวงปู่ดู่ให้ไปนำเพชรหน้าทั่งมาติดไว้หน้าองค์พระนาคปรกด้วยและมอบให้ผม ๒ องค์





"หลวงปู่ดู่กับหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร"
หลวงปู่บรมครูพระครูธรรมเทพโลกอุดร
(คัดลอกจากหนังสือ ตามรอยหลวงปู่ใหญ่ พ.ศ.2549 โดยคุณพรหมินทร์ อึ้งสกุลรัตน์)
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นพระอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่เคยพบ หลวงปู่บรมครูพระครูธรรมเทพโลกอุดร ดังที่คุณวิรัตน์ โรจนจินดา ได้บันทึกไว้ ดังนี้
“เหตุการณ์ครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ข้าพเจ้าเริ่มตระเวณหาครูบาอาจารย์ตามวัดต่าง ๆ ตามคำแนะนำของผู้ปฏิบัตธรรม วันหนึ่งข้าพเจ้าได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ดู่ ที่วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อไปถึงนั้นเป็นเวลา 4 โมงเย็น ข้าพเจ้าได้ไปถามเด็กวัดว่า กุฏิหลวงปู่ดู่อยู่ทางไหน เด็กคนนั้นก็พาข้าพเจ้าไปจนพบตัวท่าน ขณะท่านกำลังอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ข้าพเจ้าเข้าไปกราบเท้าท่าน ท่านก็เมตตาและถามว่ามาจากที่ไหน ข้าพเจ้าก็กราบเรียนถามท่านว่า มาจากกรุงเทพฯ ครับ แล้วท่านก็นั่งหลับตาอยู่นานสองนาน จนข้าพเจ้าคิดไปต่าง ๆ นานาว่าท่านคงไม่สบาย เวลาผ่านไปนานพอสมควร พอท่านลืมตาขึ้นข้าพเจ้าก็รีบถามท่านทันทีว่า หลวงปู่ไม่สบายหรือเปล่า หลานจะไปซื้อยามาถวาย ท่านก็ตอบข้าพเจ้าว่า “ฉันกำลังคุยกับหลวงพ่อเกษมที่ลำปางอยู่ จึงไม่ได้พูดคุยกับเธอ”
เหตุการณ์ครั้งนั้นข้าพเจ้าแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า หลวงปู่ดู่ ท่านอยู่ถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะสามารถส่งกระแสจิตติดต่อกับหลวงพ่อเกษมที่จังหวัดลำปางได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จิตใจก็เกิดปรามาสท่าน เพราะขณะนั้นข้าพเจ้ายังไม่แตกฉานในเรื่องธรรมะ ภายหลังต่อมาข้าพเจ้าได้เริ่มปฏิบัติพระกรรมฐาน เริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ท่านคือพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงได้กลับไปที่วัดสะแกอีกครั้งหนึ่ง พร้อมด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และเครื่องสักการะ เพื่อขอขมาลาโทษที่ได้เคยล่วงเกินด้วยกาย วาจา หรือใจก็ตาม ท่านก็เมตตาให้โอวาทและอบรมสั่งสอนธรรมะแก่ข้าพเจ้านับแต่นั้นมา
จากนั้นข้าพเจ้าก็ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านได้สอนวิปัสสนากรรมฐานจนข้าพเจ้าพอได้รู้ ได้เห็นบ้างตามสมควร ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า พระสุปฏิปันโนนั้นสภาวะจิต สภาวะธรรมของท่านละเอียดอ่อน สามารถติดต่อถึงกันได้ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนก็ตาม
หลังจากนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้คอยรับใช้ท่านอยู่หลายปี ท่านมีเมตตาเล่าเรื่องหลวงปู่ใหญ่ให้ข้าพเจ้าฟังว่า สมัยที่ท่านออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรนั้น วันหนึ่งในฤดูหนาวท่านเดินทางไปถึงดงพญาเย็น แล้วเกิดเป็นไข้มาลาเรียอยู่ท่ามกลางป่าดงดิบ ท่านคิดว่าคงจะไม่รอดชีวิตแน่แล้ว แต่จู่ ๆ ก็มีพระรูปร่างสูงใหญ่องค์หนึ่งเอายาเม็ดกลม ๆ ปั้นเหมือนลูกกลอนมาให้ท่านฉัน 2 เม็ด เมื่อท่านฉันเสร็จแล้ว ปรากฎว่าอาการไข้กลับทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ พอท่านหายพระรูปร่างสูงใหญ่องค์นั้นก็จากไป โดยที่ท่านไม่ทราบว่าพระองค์นั้นชื่ออะไร ภายหลังที่ท่านกลับมาอยุธยาได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ อาจารย์ของท่านฟัง หลวงพ่อกลั่นหัวเราะแล้วบอกว่า พระรูปร่างสูงใหญ่องค์นี้ท่านเป็นพระหลายยุคหลายสมัย ท่านเข้ามาเผยแผ่พระไตรปิฎกในสุวรรณภูมิ คอยค้ำชูบวรพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองไม่ให้ตกต่ำจนกว่าจะถึงยุคพระศรีอาริย์ พระภิกษุ สามเณร สมณชีพราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา ท่านใดได้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นการทิพย์หรือกายเนื้อถือเป็นมงคลอันสูงสุด
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านเป็นหน่อพุทธภูมิที่จุติลงมาเพื่อค้ำชูพระพุทธศาสนา ท่านเพียรสั่งสอนอบรมเหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์ของท่านให้ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ เพื่อมิให้ตกไปสู่อบายภูมิ หลังจากละสังขารไปจากโลกนี้แล้ว
ข้าพเจ้าได้พบเห็นบารมีในทางธรรมของท่านสมัยที่ข้าพเจ้าไปรับใช้ท่านอยู่ เมื่อครั้งท่านสร้างพระสมเด็จลักษณะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่เหนือสุดของพระพรหม วิธีการสร้างของท่านนั้น ท่านแกะแม่พิมพ์ขึ้นมาด้วยตัวของท่านเอง รวมทั้งท่านทำผงวิเศษเอง มีตระไคร่โบสถ์ ผลนะปัดตลอดซึ่งท่านสำเร็จวิชานะปัดตลอดมาจากครูบาอาจารย์ของท่าน ซึ่งวิธีการนั้นทำได้โดยใช้ชอล์คเขียนอักขระเลขยันต์ลงบนกระดานชนวน เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็ใช้มือลูบเบา ๆ ที่อักขระเลขยันต์นั้น ผงวิเศษก็จะทะลุกระดานชนวนลงไปในบาตร จากนั้นนำผงวิเศษนี้ไปผสมกับปูนขาว ปั๊มออกมาเป็นพระสมเด็จตามต้องการ
พระที่หลวงปู่สร้างไว้รุ่นแรก ๆ นี้ วิธีการอธิษฐานจิตของท่านเป็นเรื่องแปลกมหัศจรรย์ และเล่าขานสืบต่อมาดังนี้
ท่านจะนำพระที่สร้างไว้แล้ว เข้าไปไว้หน้าพระประธานในโบสถ์ โยงสายสิญจ์จากโบสถ์มาที่กุฎิของท่าน แล้วปิดหน้าต่างทุกบานรวมทั้งประตูโบสถ์ก็ล็อคกุญแจเรียบร้อย วันนั้นเป็นวันอาสาฬหบูชา เมื่อพระภิกษุ สามเณร สมณชีพราหมณ์ และอุบาสิกาที่ไปปฏิบัติธรรมกับท่านทำวัตรเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็กล่าวว่า
“วันนี้เป็นวันดี ฉันจะเชิญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสาวกทุกพระองค์ และครูบาอาจารย์ของฉันมีหลวงปู่บรมครูพระครูธรรมเทพโลกอุดร หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ มาร่วมอธิษฐานจิตในเวลาสองยามของค่ำคืนนี้ ขอให้ทุกคนจงร่วมจิตอธิษฐานด้วย”
พอได้เวลาสองยาม ท่านก็นั่งลงจุดธูป เทียน สักการะบูชา องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าและท่านเองก็นั่งสมาธิอธิษฐานจิตพระเครื่องของท่านด้วย
และแล้วสิ่งมหัศจรรย์เหลือเชื่อก็บังเกิดขึ้น เหล่าบรรดาพระภิกษุ สามเณร และอุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนสมณชีพราหมณ์ที่นั่งอยู่ในนั้นต่างได้ยินเสียงสวดมนต์ดังออกมาจากโบสถ์ซึ่งปิดสนิทหมดทุกด้านและไม่มีใครอยู่ในนั้นเลย !!!
พระเครื่องของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รุ่นนี้ ผู้ใดได้ไว้สักการะบูชา พร้อมทั้งปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม มีกาย วาจา ใจบริสุทธิ์ก็บังเกิดพระธาตุเสด็จมาที่องค์พระนั้นเป็นที่อัศจรรย์.


ในภาพอาจจะมี 1 คน, สถานที่กลางแจ้ง
ต่อมาได้เจอผู้จัดการสาขารุ่นน้องชื่อสมชาย ในวงการพระเครื่อง ซึ่งเขาชอบสะสมพระเครื่องเป็นอย่างมาก สมชายได้มอบเหรียญปั๊มกลมรูปเหมือนหลวงปู่ดู่หรือที่เรียกกันติดปากว่า เหรียญเศรษฐี จัดสร้างในปี ๒๕๓๑ เป็นเหรียญที่วัดสะแกได้จัดสร้างขึ้น โดยหลวงปู่ดู่เป็นผู้ปลุกเสก ส่วนรอยจารนั้นเป็นลายมือของหลวงลุงดำ ซึ่งได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ให้จารเหรียญ โดยส่วนใหญ่แล้ววัตถุมงคลที่สร้างหลังปี ๒๕๒๕ หลวงลุงดำจะเป็นคนจารแทนหลวงปู่ครับ ที่มาของคำว่า เหรียญเศรษฐี นั้น มาจากสมัยที่จัดทำเหรียญนี้ มีคนสั่งจองน้อย คณะกรรมการวัดจึงเรียนให้หลวงปู่ทราบ ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรแล้วให้ดำเนินการจัดสร้างไปตามปกติ หลวงปู่ยังได้ปรารถว่า ต่อไปเหรียญนี้จะหายาก และจะเป็นที่ต้องการเป็นอันมาก คนที่ใช้เหรียญนี้ จะร่ำรวยกันทุกคน ภายหลังเหรียญนี้จึงได้ถูกเรียกกันติดปากว่าเหรียญเศรษฐี จากคำกล่าวของหลวงปู่นั่นเอง เหรียญรุ่นนี้จัดสร้างเป็นเนื้อทองคำ ๕๖ เหรียญ เนื้อเงิน ๑,๐๐๐ เหรียญ และทองแดง ๑๐,๐๐๐ เหรียญ


คำอธิษฐานแห่งองค์หลวงปู่ดู่ " ผู้ใดที่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์ เป็นลูกเป็นหลาน สร้างบุญกุศลมากับข้ามา แม้ในชาตินี้ ไม่ได้พบสังขารธรรมของข้า แต่พอพบเห็นหลักธรรมคำสั่งสอนของข้า แล้วเกิดศรัทธา คนผู้นั้นแหละ เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารญ์เป็นลูกเป็นหลานของข้า ขอให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมะภาวนาไตรสรณคมณ์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ"

จากนั้นผมก็ได้อ่านหนังสือของหลวงปู่ดู่ เรื่องคาถามหาจักรพรรดิ์ ซึ่งหลวงปู่เป็นผู้แต่งและเล่าว่า "คาถาบทนี้เป็นของดี หมั่นท่องไว้ทุกวัน ปกติเขาไม่ให้กันหรอก เพราะเขากลัวว่าลูกศิษย์จะดีกว่าอาจารย์ แต่ข้าไม่เคยกลัวและไม่ปิดบัง ท่องให้ดีนะ อีกหน่อยจะรวย เพราะมีการกล่าวถึงพระสีวลี ผู้เลิศทางลาภไว้ด้วย อาบน้ำอาบท่า อาบไปเสกไป ก็ได้ กินข้าว ก็ได้ ดีทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ข้ามาบอกพวกแก ข้าทดลองมาแล้วทั้งนั้น เมื่อดีแล้วจึงมาบอก ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ศรัทธาและการหมั่นฝึกฝนปฏิบัติ คนเราอยู่ดีๆจะให้รวยได้อย่างไร ต้องปฏิบัติให้ดีเสียก่อน ดูอย่างข้า เมื่อก่อนต้องไปยืมเงินเขา มาซื้อธูปซื้อเทียน ใบชามาเลี้ยงแขก เดี๋ยวนี้ของกินของใช้มีให้เกลื่อนกลาดไป เรามาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น แกว่าจริงไหม ของดีของอร่อยกินก็ไม่ได้ ฟันไม่มี คนเราต้องทำให้ดี เมื่อดีแล้วจึงรวย แล้วจะได้ไม่ซวย พระจะดีต้องหมดอยาก ถ้ายังอยากอยู่ก็ไม่ใช่พระดี "










ประสบการณ์กับพระอาจารย์หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม ชัยนาท

จากนั้นมาก็เริ่มหาคาถาพระสีวลีมาสวด ได้พบบทหนึ่ง เป็นคาถาพระสีวลีลายมือหลวงพ่อกวย ( คาถาบูชา...พระสีวลีทุกวัน ซื้อง่ายขายคล่อง) ท่านเขียนไว้ตอนท้ายว่า ฉันเองสวดประจำทุกคืนวันมิได้ขาดเลย ช่วงนั้นผมได้ประกาศขายคอนโด ซึ่งซื้อไว้เก็งกำไรตั้งแต่ก่อนฟองสบู่แตก ขายไม่ได้สักที ก็เลยสวดมนต์อธิษฐานขอให้ขายได้ สวดได้สักพักหนึ่ง ก็มีคนติดต่อซื้อเข้ามา ถึงวันโอนพอรับเงินเสร็จเรียบร้อย ก็ตั้งใจไปบางลำพู งามวงศ์วานเลย พร้อมอธิษฐานว่า ถ้าเดินไปเจอพระของหลวงพ่อกวยที่แผงใดจะเช่าพระของท่านมาบูชาเลย ซึ่งตอนนั้นยังไม่เคยอ่านประวัติของท่านหรือรู้จักท่านแม้แต่นิดเดียว คาดว่าพระของท่านองค์หนึ่งคงไม่เกิน ๕๐๐หรือ ๑,๐๐๐ บาท เหตุเพราะในชีวิตไม่เคยเช่าพระเครื่องเลยแม้แต่องค์เดียว วันนั้นมีตลาดนัดพระเครื่อง เดินไปตามเส้นทางแผงลอย ซึ่งมีพ่อค้านำพระมาวางบนโต๊ะพับได้ ไปสะดุดหยุดลงตรงแผงหนึ่ง เพราะมีรูปหลวงพ่อกวยอยู่บนโต๊ะ เดินเข้าไปถามเขาว่า "พระที่มีอยู่ ที่แพงที่สุดองค์ไหน" เขาหันมามองหน้าแบบงงๆ แล้วหยิบพระออกมาองค์หนึ่งบอกว่าองค์นี้ ผมถามเขาต่อว่าเอาองค์ที่แพงที่สุดที่แผงคุณมี เขาเลยหยิบออกมาอีกองค์หนึ่งพร้อมพูดว่า " พี่จะเอาองค์แพงๆใช่ไหม องค์นี้ราคา ๓๔,๐๐๐ บาท เป็นพระของหลวงพ่อกวย" ผมฟังแล้วสะดุ้งเลย ราคาตั้ง ๓๔,๐๐๐บาทและเป็นพระของหลวงพ่อกวย ที่เราอธิษฐานเอาไว้ถ้าเจอจะเช่า ถามต่อลดได้เท่าไหร่ เขาบอกลดได้ ๑,๐๐๐บาทเหลือ ๓๓,๐๐๐บาท ผมบอกเขาว่า " ให้เวลาคิด ว่าจะลดได้มากที่สุดเท่าไหร่ เดี๋ยวจะกลับมาถาม" จากนั้นผมก็เดินออกไปสูบบุหรี่ ครุ่นคิดว่าจะเอาอย่างไรดี ราคาตั้ง ๓๔,๐๐๐บาท แต่ก็อธิษฐานไปแล้ว หลังจากคิดแล้วคนเราต้องมีสัจจะ เดินกลับไปหาพร้อมถามว่าตกลงลดเหลือเท่าไหร่ ได้รับคำตอบ "ลดไป ๑,๐๐๐บาทเหลือ ๓๓,๐๐๐บาท" เลยบอกไปว่า " ๒๔,๐๐๐บาท" "๒๔,๐๐๐บาท ผมไม่รับประกันนะครับ แต่ถ้า ๓๓,๐๐๐บาท ผมรับประกันตลอดชีพ" ผมฟังแล้วแปลได้ว่า ถ้าเช่าไปแล้วเก๊ ในราคา ๒๔,๐๐๐บาทคืนไม่ได้ แต่ถ้าเช่าไปในราคา ๓๓,๐๐๐บาท ถ้าเก๊คืนได้ ผมเลยถามไปว่า "ถ้าเก๊จะเอาชายโครงด้านไหนที่ให้หัก (ตอนนั้นมีข่าวว่าเซียนใหญ่ปล่อยพระเก๊ให้ขาใหญ่ แล้วยึกยักไม่ยอมคืนเงิน เลยถูกคนดักตีนอนโรงพยาบาล)" เขามองหน้าแล้วตอบว่า "เอาข้างขวาแล้วกันครับ" "ทำไมถึงเลือกข้างขวา" "ข้างซ้ายมันใกล้หัวใจครับ" จ่ายเงินเสร็จรับพระมาเรียบร้อย รู้ว่าเช่าจากเซียนเอก ดนตรีไทย จากนั้นผมก็เดินไปหาซื้อหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์หลวงพ่อกวยและเพื่อจะดูว่าพระที่ผมเช่ามาเป็นพิมพ์อะไรนิยมกันแค่ไหน เพราะก่อนหน้านั้นไม่รู้จักจริงๆว่าท่านมีความเป็นมาอย่างไร ได้แต่สวดมนต์คาถาบูชาพระสีวลีของท่านเท่านั้น ตกลงได้หนังสือมาหนึ่งเล่ม หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆษิตาราม รวมประวัติและรูปภาพ ฉบับสมบูรณ์ จัดทำโดย นิตยสารพระเครื่องมงคลทิพย์ กลับถึงบ้านนั่งเปิดดูรูปภาพพระ จากหนังสือปกแข็งรวม ๒๓๒หน้า ไม่มีภาพพระ พิมพ์พระของหลวงพ่อกวยที่ผมเช่ามา ๒๔,๐๐๐บาท แม้แต่องค์เดียว ตอนนั้นคิดว่าเสร็จแล้วเรา เป็นการเช่าพระเครื่ององค์แรกในชีวิตจริงๆ แต่มาทราบในภายหลังว่า องค์ที่เราเช่ามานั้น เรียกหากันในวงการว่า พระสมเด็จแหวกม่าน พิมพ์สมาธิ ข้างเรียบ ซึ่งเป็นพิมพ์ที่หายากยิ่งกว่ายาก เพราะพระสมเด็จแหวกม่าน พิมพ์อกใหญ่  ว่าหายากแล้ว พระสมเด็จแหวกม่าน ข้างเรียบ ปางสมาธิ กลับหายากกว่า




                             พระสมเด็จแหวกม่านปางสมาธิที่เช่าเป็นองค์แรกในชีวิต 





จากข้อมูล รักษ์พระ-พระแหวกม่าน พิมพ์อกใหญ่ หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม บันทึกไว้ว่า 

รักษ์พระ

12 มีนาคม 2015 · 

พระแหวกม่าน พิมพ์อกใหญ่ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม

ลพ.กวย ชุตินธโร วัดโฆสิตาราม (วัดบ้านแค) ชื่อพระท่านนี้หากย้อนไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน พระเครื่องของท่านยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในส่วนกลาง ยังเป็นเพียงเกจิอาจารย์ท้องถิ่นที่โด่งดังเฉพาะในพื้นที่ละแวกชัยนาท วันเวลาผ่านมาจวบจนปัจจุบันนี้ จากประสบการณ์ผ่านวันเวลาวันแล้ววันเล่า ผู้คนมากมายอาราธนาบูชาท่านด้วยใจจริง เขาเหล่านั้นกลับมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีก็มากมาย ผู้คนเริ่มรับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์และเจออภินิหารจากอมตะเถราจารรูปนี้ คำลือจากปากผู้คนดังไฟไหม้ฟาง ทำให้ชั่วเวลาไม่นานนัก พระเครื่องของท่านก็เป็นที่นิยมเสาะแสวงหา มีราคาค่าสะสมสูงเป็นที่นิยมของมหาชนมาจนปัจจุบัน และเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศไทย

พระพิมพ์สำคัญที่จัดว่าหากยากอีกพิมพ์ของพระเกจิท่านนี้คือ พระเนื้อผงพิมพ์แหวกม่าน พิมพ์อกใหญ่ พระพิมพ์นี้ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะคิดว่าค้นพบหรือหาเจอได้ง่ายๆ เป็นพระพิมพ์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงของ ลพ.กวย และปฏิเสธไม่ได้เลยกับความหายาก ทรงคุณค่าทั้งด้านจิตใจ และราคาเช่าหาสะสม เป็นพระพิมพ์สำคัญมากอีกพิมพ์หนึ่งของท่าน พระพิมพ์นี้คาดว่าจำนวนการสร้างน่าจะมีไม่เกินหลักร้อยอย่างแน่นอน ด้วยจำนวนของพระที่มีหมุนเวียนในวงการจนปัจจุบัน มีซ้ำหน้าให้เห็นกันบ่อยๆและแทบจะนับองค์กันได้เลยทีเดียว ปัจจุบันวัตถุมงคลของ ลพ.กวย จัดเป็นของดีอมตะแห่งบ้านบางขุด อ.สรรค์บุรี ที่ผู้คนเมื่อมาเยี่ยมเยือนตามถามไถ่ แสวงหา จากผู้คนทุกชนชั้นในสังคมบ้านเมืองเรา ทำให้พบเห็นวัตถุมงคลของท่านแท้ๆหลงตาในปัจจุบันค่อนข้างยาก

พระ แหวกม่านพิมพ์อกใหญ่นี้ เป็นที่สุดของพระพิมพ์แหวกม่านก็ว่าได้ หากไม่นับพระแหวกม่านพิมพ์ทรงเจดีย์ ที่ปัจจุบันหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ซึ่งแทบจะเป็นตำนานไปแล้ว ด้วยพระที่หมุนเวียนในวงการน้อยมาก (ถึงมากที่สุด) ราคาเช่าหาแพงลิบลิ่วเกือบๆจะครึ่งล้านบาทในปัจจุบัน พระแหวกม่านอกใหญ่นี้สันนิษฐานว่าสร้างในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ราวปีกึ่งพุทธกาล เป็นการปล่อยวิชาทำของดีวิเศษเพื่อสงเคราะห์ให้แก่ศิษย์ของท่าน โดยส่วนตัวของ ลพ.กวย ท่านเป็นพระผู้คงแก่เรียน ตำราวิชาที่ท่านเรียนมามากมายนัก หากนำตำราวิชาที่ท่านเรียนมาจากครูบาอาจารย์ของท่าน นำมาเรียงซ้อนกันอย่างน้อยสูงท่วมหัวอย่างแน่นอน ซึ่งด้วยภายหลังท่านมรณภาพได้ค้นพบตำหรับ ตำรา วิชาการต่างๆ ของท่านมีเป็นหีบเลยทีเดียว

การที่ ท่านเรียนมาก-รู้มาก และท่านเป็นคนรอบคอบมองการไกล ทั้งมีเมตตาจิตรักศิษย์ทุกคนดังลูกสืบสายโลหิต โดยในอดีตแถบสรรค์บุรี ดงคอน สามเอก วัดนก พื้นที่แถบนี้เป็นชุมโจร ดงเสือ ชุมนักเลง ผู้คนแถบนี้ส่วนมากยากจนใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำ สมัยนั้นวัดของท่านก็ยากจน ศิษย์ของท่านก็ยากจนอยู่มากพอควร เมื่อท่านสร้างพระพิมพ์แหวกม่านนี้ขึ้นมา ท่านก็ตั้งใจอยากให้ศิษย์ท่านและผู้นับถือท่าน จะได้มีกินมีใช้ไม่อดอยากยากแค้น หมดทุกข์ร้อนใจ ตั้งตัวได้ สมดังที่ระบุไว้ในตำราโบราณที่ท่านได้มา นี่จึงเป็นปฐมเหตุของการสร้างพระพิมพ์แหวกม่านของท่าน

รายละเอียด

พระสมเด็จแหวกแม่น พิมพ์อกใหญ่

เนื้อหามวลสาร - ดินผสมผง

ปีที่สร้าง - ประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐

อายุการสร้าง - ประมาณ ๕๐ ปี

พุทธคุณ - เมตตามหานิยม พลิกดวงชะตา เกื้อหนุนดวงชะตา นิรันตราย ปกป้องคุ้มครอง เจริญทางโภคทรัพย์

ประวัติการสร้าง

ท่าน ตั้งใจมากตั้งแต่สรรหามวลสารจากป่าลึกตามตำราระบุไว้ โดยท่านนำตำราการสร้างพระสมเด็จแบบของสมเด็จโต มาประยุกต์ร่วมกับวิชาที่ท่านเรียนมา เริ่มจากท่านจะให้ศิษย์ที่เป็นพรานป่า คนรู้วิชาป่า มีอาคมพอตัว ออกเดินทางร่วมไปกับท่านยังป่าลึกผ่านดงใหญ่ใบหนาของป่าไม้ เมื่อเข้าไปยังที่เหมาะสมตามตำรา ท่านจะทำการบวงสรวงป่า และอธิษฐานเชิญครูบาอาจารย์ จากนั้นท่านจะนำเอาผ้าขาวมามาเสกด้วยคาถา จากนั้นจะให้ศิษย์โยนขึ้นบนฟ้า โดยท่านจะหมายตาเอาไว้ว่าม้วนผ้าลอยสูงขึ้นไปประมาณเท่าไร จากนั้นท่านจะทำหลักไม้ไผ่ หรือทำเครื่องหมายเอาไว้ ต่อมาจะให้ศิษย์ช่วยกันสร้างหอพิธี หรือห้างพิธีบนต้นไม้ แล้วแต่สถานที่อำนวย เมื่อหอหรือห้างพิธีเสร็จแล้ว ท่านจะรอเวลาเช้าตรู่ให้ศิษย์นำเอาขันสำฤทธิ์ขึ้นไปไว้บนหอพิธีนั้น ใส่น้ำลงไปในขันพอสมควร จากนั้นท่านจะเข้าที่ภาวนาไปเรื่อยๆ ไม่เกินเวลาเพลก็หยุดภาวนา (ท่านถือเคล็ดจะภาวนาตอนพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น คือ ขึ้นตลอดไม่ลง) การภาวนาของท่านเป็นการภาวนาด้วยคาถาหัวใจพญาการเวก เพื่อเรียกพญานกการเวกให้มาเล่นน้ำในขันสำฤทธิ์ (สำฤทธิ์ คือสำเร็จ) ที่เตรียมไว้ โดยเปลี่ยนน้ำทุกวันจนวันใดขึ้นไปพบขนนกการเวก แปลว่าพญาการเวกมาลงเล่นน้ำ และสลัดขนเอาไว้ให้แล้ว ท่านจะนำขนและน้ำนั้นกลับ เป็นอันเสร็จพิธีกรรม

มวล สารในการสร้างแค่อย่างแรกนี้เมื่อท่านทราบก็คงพอจะรู้ได้ว่า การจะสร้างพระสักรุ่น สักองค์ของครูบาอาจารย์ในอดีตอย่างของ ลพ.กวย นี้ช่วงแสนยากเย็น เมื่อได้ขน “นกการเวก” มาแล้วท่านจะนำเอามวลสารสำคัญอย่างอื่นๆมาผสม เท่าที่ทราบมาว่าในพระเนื้อผงยุคแรกๆของท่าน โดนเฉพาะอย่างยิ่งพิมพ์แหวกม่านจะมีส่วนผสมคร่าวๆ ดังต่อไปนี้

· ขนนกการเวก (เป็นมหานิยมอย่างสูงยิ่ง อาจารย์น้อยรูปที่จะเรียกนกการเวกได้)

· เม็ดมะก่ำขาว (ของหายากใช้ดีทางกันคุณไสย กันอาถรรพ์)

· ไม้ต้นคันทรง เขานำมาใช้ตีกลองเพล (ดีทางชุมชุม เรียกคน เป็นเมตตา โด่งดัง)

· ไม้มงคล ๙ ชนิด นำมาขูด นำมาป่นเป็นผง มี สักทอง, ขนุน, ทองหลาง เป็นต้น

· แร่อุกกาบาต (กันอาถรรพ์ กันคุณไสย ลมเพ ลมพัด)

· ขวานฟ้า (เมื่อยามฟ้าผ่าจะพบก้อนหิน หรือก้อนแร่ลักษณะคล้ายใบขวาน ใช้กันฟ้าผ่า)

· ดอกไม้มงคลทั้ง ๙ เช่น ดอกบัว, ดอกบานไม่รู้โรย, ดอกดาวเรือง เป็นต้น

· เกสรบัวทั้ง ๕

· ผงอิทธิเจ

· ผงตรีนิสิงเห

· ผงมหาราช

· ผงพุทธคุณ

· ผงดอกไม้บูชาพระวันเข้าพรรษา

· ไคลอาถรรพ์ เช่น ไคลโบสถ์, ไคลเจดีย์, ไคลพระพุทธบาท เป็นต้น

· ผงหวายลูกนิมิต (หวายเคล็ด คือ เหนียว มีคุณดีทางกันปืน คุ้มครอง)

· ผงดินติดผาลไถ (ถอดถอนคุณไสยของต่ำ หงส์ร่อนมังกรรำ)

· น้ำใต้ท้องเรือ (ถอดถอนคุณไสยของต่ำ หงส์ร่อนมังกรรำ)

· ไม้คาน (เป็นไม้คานแม่หม้ายขายของจนหัก ดีทางทำมาหากิน เมตตา เพราะแม่รักลูกหากินมาเลี้ยงลูกจนไม้คานหัก)

· น้ำมันหอม จากบ้านแม่ค้าที่มีชื่อเป็นมงคล เช่น เงิน ทอง สำรวย เป็นต้น ตอนซื้อห้ามต่อราคา

· ไม้ไก่กุก เป็นไม้ที่ไก่ตัวผู้คาบขึ้นมาหลอกเรียกตัวเมียให้สนใจ ให้เข้ามาใกล้ๆ เพื่อผสมพันธุ์ (ดีทางเมตตามหาเสน่ห์)

· เครือเถาหลง

· ว่านวิเศษต่างๆ

· น้ำใบขัดมอญ ตำแล้วคั้นมาผสมดีทางกันคุณไสย

· ดี สัตว์มงคลต่างๆเช่น ดีงูเหลือม (นอนกิน) ดีเต่าตนุ (อายุยืนนาน) ดีไก่ดำ (ทำมาหากินเก่ง) ดีเสือ ดีหมี (มหาอำนาจ) และถือเคล็ดว่า “ดี” อะไรๆ ก็จะดีตามคำออกเสียง

ของมงคลอีกมาก มายที่ยังไม่รู้แต่ท่านรวบรวมอยู่หลายปีจนครบ แล้วนำมาใส่พระผงพิมพ์แหวกม่าน และพระพิมพ์ในยุคแรกของท่าน ซึ่งเคล็ดการสร้างนี้คนรุ่นเก่าๆรับรู้กันดี แม้แต่อาจารย์แสวง วัดหนองอีดุกและอาจารย์ทรง ก็เคยถ่ายทอดข้อมูลนี้ให้ศิษย์ของหลวงพ่อกวยได้รับรู้ หลายท่านคงไม่เคยได้ยินข้อมูลนี้มาก่อน แต่ลองสอบถามคนรุ่นเก่าๆดูว่าจริงหรือไม่ ยังมีเกร็ดข้อมูลลึกๆอีกมากที่จะทยอยนำมาเล่าเพื่อประดับความรู้ครับ

(เครดิต เรื่อง: หนุ่มเมืองแกลง รูปภาพ:นะโมพุทธายะ,ทักษิณเทวราช,เว็บวัดโฆสิตาราม ฯลฯ)




 
พระสมเด็จแหวกม่านพิมพ์สมาธิ ข้างเรียบที่เช่าเป็นองค์แรกในชีวิต




ผมได้บันทึกไว้ถึงความฝันอันเหลือเชื่อที่มีพระสมเด็จแหวกม่านพิมพ์สมาธิ ข้างเรียบของท่านพระอาจารย์หลวงพ่อกวยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

เมื่อคืนวันพุธที่ 5 พฤศจิกายน 2551 วันพระขึ้น8ค่ำ เดือน12 ได้เกิดเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อขึ้นในชีวิต คืนวันนั้นได้นอนหลับและในความฝัน ได้พบเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้พบกันมานาน ขณะที่ผมขับรถอยู่ จึงจอดรถและขอเบอร์โทร เพื่อจะเอาไว้ติดต่อ แต่เพื่อนหญิงคนนั้นกลับขึ้นมานั่งในรถ พร้อมโอบกอดจูบเป็นพัลวัน ขณะที่รถก็เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆและรถก็เข้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง บรรยากาศเหมือนตอนใกล้พลบค่ำ มองไม่เห็นอะไร นอกจากพื้นถนนขนาดเท่ากับตัวรถเท่านั้นและพื้นถนนนั้นยังหักศอกไปมาทั้งซ้ายขวา พื้นที่ข้างถนนทั้งสองข้างสังเกตุได้ว่าเป็นบ่อน้ำลึกตลอดทาง มองไปข้างหน้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น จะถอยรถก็ทำไม่ได้ แต่ในใจคิดว่าน่าจะเข้าไปในบริเวณวัดใดวัดหนึ่ง จึงร้องห้ามเพื่อนหญิงคนนั้นให้หยุดโอบกอด พร้อมบอกว่า นี่เป็นบริเวณวัด เพือนหญิงบอกว่า เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ เขาเองไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้ แต่ผมบอกว่า ผมเชื่อและกลัวบาปกรรม พร้อมจอดรถเพื่อจะลงไปหาและสอบถามเส้นทางจากผู้คนที่อาจจะอยู่บริเวณนั้น ปรากฎว่าขณะเดินลงจากรถไป มีคนโผล่พรวดทะลึ่งขึ้นมาจากน้ำลึกบริเวณนั้น ท่าทางน่ากลัวมากๆ พร้อมจับข้อมือเพื่อนหญิงคนนั้น และพูดว่า หมดเวลาแล้ว ไปลงนรกได้แล้ว ผมรู้สึกกลัวมากขนลุกตั้งทั้งตัวยันหัว มีคนโผล่ขึ้นจากน้ำอีกคนหนึ่ง มาคว้าจับข้อมือผมเช่นเดียวกัน พร้อมกล่าวว่า หมดเวลาแล้ว ไปสวรรค์ได้แล้ว ผมตอบกลับไปว่า ผมไม่พร้อมจะไป ชายคนนั้นถามผมว่า ไปสวรรค์ทำไมไม่ไป ผมตอบว่า เป็นห่วงพ่อแม่ลูกเมียและน้องๆ ชายคนนั้นจึงปล่อยมือผม ผมตกใจตื่นพร้อมอาการขนลุกทั่วตัวยันหัว หลังจากสงบใจได้พักหนึ่ง จึงได้ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำพร้อมล้างหน้าและยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในความฝันนั้น จากนั้นเข้านอนแล้วนอนหลับไป เรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นอีก มีความฝันต่อจากช่วงที่แล้ว ไม่น่าเชื่อหลังจากหลับไป ความฝันนั้นยังต่อเนื่อง ผมเดินไปตามเส้นทางถนนเพื่อจะสอบถามเส้นทางที่จะออกจากบริเวณนี้ เพราะไม่มีแสงไฟแม้แต่น้อย เห็นแต่ถนนที่หักศอกไปมาซ้ายขวา พร้อมสระน้ำลึกสองข้างทาง หลังจากนั้น พบอาคารหลังหนึ่ง เป็นอาคารชั้นเดียว หลังคาลาดๆมาทางชายคาคล้ายวิหาร จึงก้มตัวเข้าไปในนั้น พบพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งนั่งอยู่ ด้านหน้าท่านมีผอบปิดฝาอยู่ใบหนึ่ง ด้านข้างขวามือของท่านมีคัมภีร์อยู่บนพานทอง ปรากฎพระคาถาในคัมภีร์นั้นประมาณสองบรรทัด แต่อ่านจับใจความไม่ได้  ระหว่างนั้นท่านบอกว่าจะบอกบุญให้แล้วเดินหายไปด้านหลัง ผมก็คิดว่า ถ้าท่านบอกบุญให้สร้างอะไรใหญ่ๆใช้เงินมากๆ ผมไม่มีเงินพอที่จะทำบุญจะทำอย่างไรดี ท่านเดินกลับออกมาอีกครั้งพร้อมพูดว่า จะให้ดูพระคู่บารมีของอาตมา ผมมองไปที่ผอบใบนั้นที่ท่านบอกว่าเป็นพระคู่บารมีของอาตมา ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นพระบรมสารีริกธาตุ แต่ผมก็นำพระที่คล้องคออยู่องค์เดียวให้ท่านดู ท่านพิจารณาแล้วพูดว่าไม่ทราบว่า พระภิกษุรูปใดเป็นผู้สร้าง ทราบแต่เพียงว่าพระรูปนี้มีบุญบารมีสูงมาก ผมจึงตอบไปว่า เป็นพระสมเด็จแหวกม่านของ ท่านหลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆสิตาราม เป็นผู้สร้าง ปรากฎมีโยมผู้หญิงอีกคนมานั่งข้างๆผมด้านซ้าย  ท่านบอกให้โยมผู้หญิงคนนั้นสวดมนต์ให้ฟัง เมื่อโยมผู้หญิงคนนั้นสวดจบ ท่านบอกว่า ถ้าจะสวดมนต์ต้องสวดให้ถูกต้องตามบาลี พร้อมหันมาทางผมให้สวดมนต์ให้ท่านฟัง ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยชอบสวดมนต์ ได้พยายามนึกสวดบทอะไรดี ก็ได้สวดไปว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เมื่อสวดจบท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร   ขณะนั้นผมเห็นแสงไฟหน้ารถสาดผ่านด้านหลังกุฏิของท่าน ผมเห็นว่าผมมีทางออกแล้ว จึงก้มกราบแล้วเดินออกจากุฏิของท่าน แต่ยังหันหลังกลับไปถามท่านว่า วัดที่ผมเข้ามานี่ ชื่อวัดอะไร ท่านตอบว่า วัดเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่

หลังจากนั้น ผมก็ตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกประหลาดใจในความฝันครั้งนี้มาก เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฝันแล้วตื่น เมื่อตื่นแล้วหลับ  ความฝันในครั้งที่สองยังต่อเนื่องจากความฝันในครั้งแรก ได้พยายามทบทวนความฝันและคิดว่า เช้าวันนี้จะต้องตามล่าหาความจริงให้ได้ว่า วัดเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ คือ วัดใด ใครเป็นเจ้าอาวาส มีเรื่องราวตรงกับความฝันนั้นหรือไม่เช้าวันนั้น ผมได้เข้าไปในinternet เข้าค้นคำว่า เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ปรากฎว่า หน้าจอขึ้นมาว่า เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดบุพพาราม พระเทพวิสุทธิคุณ(กุศล คันธวโร) จึงได้โทรถาม1133 เพื่อขอเบอร์โทรเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ประโยคแรกที่ได้สนทนากับท่าน คือ แนะนำตนเองว่า ผมชื่ออมร ชุติมาวงศ์ อยู่กรุงเทพ ผมฝันถึงท่านครับ ก่อนจะเล่าความฝัน ขอกราบเรียนถามท่านก่อนว่า ท่านมีพระบรมสารีริกธาตุหรือไม่ครับ ท่านทำให้ผมรู้สึกอย่างบอกไม่ถูก เพราะท่านตอบทันทีว่า มีและจะมอบให้ ถ้าขึ้นมาหาและให้นำตลับมาด้วย จะไปรอช้าอะไร ผมเดินทางขึ้นไปเชียงใหม่ในเย็นวันศุกร์7พย2551 เป้าหมายวัดบุพพาราม แต่ระหว่างเดินทางก็คิดทบทวนถึงความฝัน เข้าไปบริเวณมีบ่อน้ำมากมาย เข้าไปในวิหารชายคาลาดๆ เห็นพระสงฆ์ยืนอยู่ มีผอบ(ในฝันเดาว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ) มีพระคาถาพับเป็นชั้นๆเหมือนที่พระท่านถือเวลาเทศน์วางอยู่บนพานสีทอง ท่านบอกว่าจะบอกบุญ ทำไมเราต้องโชว์พระสมเด็จแหวกม่าน ของหลวงพ่อกวยให้ท่านดู เพราะพระเครื่องเรามีมากมายหลายหลวงพ่อหลายอาจารย์

พอถึงหน้าวัดบุพพาราม โผล่เข้าไป เห็นวิหารด้านขวามือชายคาลาดๆเหมือนในฝันที่เราเข้าไป เลยเดินเข้าไป พอคุกเข่าลงจะกราบพระ ตะลึงครับ เห็นกรอบรูปใส่พระคาถาจินดามณี ที่ใช้ปลุกเสกพระสมเด็จแหวกม่าน ของหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม มีคนเขียนชื่อตนเองพร้อมกำกับว่าขอถวายให้หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตารามวางอยุ่ด้านหน้า(ความจริงจดชื่อนามสกุลผู้ถวายไว้ด้วย แต่ยังหาไม่พบ)


วิหารวัดบุพพารามมีคนนำคาถาจินดามณีของหลวงพ่อกวยมาถวาย


เดินออกจากวิหารไปพบท่านเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดบุพพาราม พระเทพวิสุทธิคุณ (กุศล คันธวโร) เกิด2พย.2468 บรรพชาเป็นสามเณร2มีค.2488 อุปสมบท20กค.2488 วันที่พบท่านๆอายุ83ปี เป็นเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่รูปที่10 ปีพศ.2542

เมื่อเข้าไปกราบท่านพร้อมแนะนำตนเอง ประโยคแรกท่านถามว่าเอาตลับมาด้วยหรือไม่ ตอบท่านว่านำมาครับพร้อมยื่นให้ท่าน ท่านลุกขึ้นพร้อมนำตลับไป กลับออกมาอีกครั้งท่านยื่นตลับให้ พอผมเปิดดู ไม่เห็นเหมือนพระบรมสารีริกธาตุที่เคยเห็นทั่วไป ถามท่านว่านี่คือพระบรมสารีริกธาตุหรือ ท่านมองหน้าพร้อมตอบว่าใช่ หลังจากนั้นก็สนทนาสอบถามท่านว่า บริเวณวัด มีบ่อน้ำที่ผมเห็นไม่ให้ผู้หญืงเข้ามีบ่อเดียวหรือครับมีบ่ออื่นๆอีกหรือไม่ ท่านบอกมีบ่อเดียว ถามท่านว่ามีพระคาถาอะไรหรือไม่ ท่านบอกไม่มี มีแต่คาถาที่แต่งขึ้นบูชาพระพุทธนเรศร์ สักชัยไพรีพินาศ กับคาถาบูชาพระพุทธไชยลาภประสิทธิโชค เท่านั้น ถามว่าทางวัดหรือท่านมีอะไรจะบอกบุญหรือไม่ ท่านก็ตอบว่าไม่มี จากนั้นก็กราบลาท่านกลับ

รู้สึกประหลาดใจในความฝัน เข้าไปในวิหารชายคาลาดๆก็ใช่ พระหลวงพ่อกวย อยุ่ตั้งถึงจังหวัดชัยนาท มีคนนำพระคาถาท่านมาตั้งถวายุถึงเชียงใหม่เหลือเชื่อ พระบรมสารีริกธาตุทำไมไม่เหมือนที่เคยเห็น ใช่หรือไม่ ทำไมท่านให้ง่ายๆ บ่อน้ำลึกๆ บอกบุญ พระคาถา ก็ไม่มี


    พระธาตุข้าวบิณฑ์ที่ได้รับจากท่านเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่

บทความนี้คัดลอกจากหนังสือธรรมปกิณกะ เล่ม 1 ที่เขียนขึ้นจากคำบอกเล่าของพระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ หรือ หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา (ครูบาวงศ์) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ซึ่งเป็นพระมหาเถระที่มีจริยวัตรงดงาม และโดดเด่นในเรื่องเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุเป็นอย่างมาก


"หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา เกิดเมื่อปี 2456 ที่ จ.ลำพูน บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 13 ปี และเมื่ออายุครบบวช จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีครูบาพรหมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้าเป็นพระอุปัชฌาย์ ตลอดชีวิตของท่าน ได้ไปจำวัดสั่งสอนอบรมศิษย์ยังสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดพระบาทห้วยต้ม และมรณภาพในปี 2543 หลังจากมรณภาพแล้ว สังขารของท่านมิได้เน่าเปื่อย และยังคงเก็บรักษาไว้ที่วัดพระบาทห้วยต้ม จนถึงปัจจุบัน"

 พระธาตุข้าว (ข้าวบิณฑ์) 

.............ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ วันหนึ่งได้เสด็จมาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแม่ระมิงค์เพื่อไปโปรดพวกละว้า พวกละว้าเหล่านั้นอยู่ในภาวะอดอยาก ผืนดินแห้งแล้งทำการเพาะปลูกไม่ได้ผล ต้องหาหัวเผือกหัวมันมาต้มผสมกับข้าวกินเป็นอาหาร เมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงที่นั่น พวกละว้าก็เอาข้าวผสมมันซึ่งเป็นโภชนาหารของตนมาใส่บาตร

.............พระบรมโลกนาถก็ทรงรับแล้วฉันภัตตาหารเช้า ณ ที่นั้นซึ่งเรียกว่า ดอนน้อย เสร็จแล้วก็ทรงให้ศีลให้พรพวกละว้าทั้งหลาย หลังจากนั้นจึงทรงนำข้าวที่เหลือก้นบาตรไปเทคว่ำไว้และแสดงปาฏิหาริย์ให้ข้าวนั้นกลายเป็นหิน(เป็นพระธาตุข้าวดังที่เห็นในปัจจุบันนี้) พวกละว้าเมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดเลื่อมใสศรัทธาเป็นอันมาก พระพุทธองค์จึงทรงให้ศีล 5 และแสดงธรรม และรับสั่งให้พวกละว้ารักษาดอนน้อยไว้ให้ดี และให้รักษาศีล 5 ไว้เป็นปกติ ถ้ารักษาได้ก็เหมือนอยู่ใกล้พระพุทธองค์ ถ้ารักษาไม่ได้ก็เหมือนอยู่ไกลสุดขอบฟ้าจักรวาล ข้าวก้นบาตรที่กลายเป็นหินนี้แต่ละเม็ดมีเทพคุ้มครองอยู่ จากนั้นพระธาตุข้าวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

.............เมื่อพระครูบาชัยวงศาฯได้มาจำพรรษาเพื่อพัฒนาวัดพระพุทธบาทห้วยต้มที่ อ.ลี้ จ.ลำพูน ท่านได้นิมิตเห็นพระธาตุข้าวซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 กม. ที่ดอยเกิ้ง ท่านจึงได้อัญเชิญพระธาตุข้าวบางส่วนมาไว้ที่วัดและแจกให้ลูกหลานนำไปสักการบูชา ผู้ที่อยู่ในศีลในธรรมที่มีพระธาตุข้าวไว้บูชาแล้ว ความอดอยากขาดแคลนจะไม่บังเกิดขึ้น การทำมาค้าขายโดยสุจริตจะได้ผลเจริญงอกงาม เมื่อประสงค์สิ่งใดให้ทำสมาธิจิตระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาชัยวงศาฯ แล้วตั้งจิตขอในสิ่งที่ปรารถนาจะได้ผลดีมากสำหรับผู้ที่มีศีล 5 เป็นปกติ

.............ถ้าหากเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ที่รับประทานยาแผนปัจจุบันแล้วไม่สามารถบรรเทาทุกข์เวทนาให้หายลงได้ ก็ให้ทำน้ำพระพุทธมนต์โดยจุ่มพระธาตุข้าวลงในภาชนะใส่น้ำที่จะทำน้ำพระพุทธมนต์ ตั้งจิตอธิษฐานแล้วดื่มน้ำพระพุทธมนต์นั้นจะบรรเทาทุกข์เวทนาที่เกิดขึ้นได้ และพระธาตุข้าวนี้อาจแตกหักได้ 2 กรณีคือ

.............1. แตกโดยการชำรุด
.............2. แตกหักโดยนำไปในสถานที่ที่ไม่เป็นมงคล


ผมจึงเดินทางกลับกรุงเทพ พร้อมกับครุ่นคิดตลอดเวลาว่า ถ้าฝันแม่นจริงต้องครบเรื่องราวสิ กลับมาได้หนึ่งสัปดาห์ อ่านหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะบวช แต่ยังไม่รู้ว่าบวชวัดไหน กำลังติดตามข่าวจาก เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่วัดสายมหานิกายกับวัดสายธรรมยุติอยู่ เลยเป็นความรู้ใหม่ ว่าเจ้าคณะจังหวัดมี2องค์ วิธีเดิมครับ เข้าintetnetโทร1133ทราบว่าเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่สายธรรมยุติ คือ............

เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดสายธรรมยุต คือ วัดเจดีย์หลวง จึงได้โทรไปพบพระครูอัมพร ท่านให้เบอร์โทรพระสิทธิกร จากการสนทนาทราบว่าท่านบวชมา6พรรษา(ปี2551) ท่านเมตตากรุณาเป็นอย่างยิ่ง ให้เบอร์โทรพระมหาฉลองอายุ40ปี(2551) บวชเป็นเณรตั้งแต่อายุ12ปี บวชพระมา20ปี(2551) ท่านนี้สนทนาปราศรัยด้วยความเมตตากรุณาเป็นอย่างยิ่ง ยังรู้สึกซาบซึ่งถึงความกรุณาของท่านมาถึงทุกวันนี้

ทราบจากท่านว่า ท่านเป็นเลขาฯของเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่คนก่อน ซึ่งขณะสนทนาท่านอยู่ที่วัดสันติธรรม เป็นวัดที่อาจารย์ของท่านเป็นเจ้าอาวาส และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ แต่มรณภาพไปเมื่อ4ตค.2547 พระราชทานเพลิงศพไปเมื่อ20กพ.2548 กระดูกของท่านแปรสภาพเป็นพระธาตุด้วย ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านมีสมณศักดิ์และนามว่า พระนพีสีพิศาลคุณ พระมหาทองอินทร์

ขณะนี้(พศ.2551) ทางวัดสันติธรรมกำลังบอกบุญเพื่อหาปัจจัยสมทบทุนดำเนินการก่อสร้าง ศาลาปฏิบัติธรรมและพิพิธภัณฑ์พระธาตุบูรพาจารย์ เพื่อประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุและอัฐิธาตุหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาเจ้าศรีวิชัย หลวงปู่แหวน หลวงปู่สิม หลวงพ่อมหาทองอินทร์ เป็นต้น

 ทางวัดสันติธรรมได้จัดสร้างพระสีวลี เพื่อตอบแทนผู้ร่วมทำบุญ วัตถุมงคลนี้ผ่านพิธีพุทธาภิเษก เมื่อวันศุกร์ที่8สิงหาคม2551 เวลา19.00น. โดยมีเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน วันเสาร์ที่9สืงหาคม2551 เวลา18.49 น.ได้อาราธนาพระภาวนาจารย์มาทำการแผ่เมตตาอธิษฐานจิต จำนวน8รูป อาทิ หลวงปู่เปลี่ยน วัดอรัญญวิเวก เป็นต้น


มีพระคาถาของ พระนพีสีพิศาลคุณ (หลวงพ่อมหาทองอินทร์ กุสลจิตโต) วัดสันติธรรม เชียงใหม่ รวมถึง 14 คาถา อาทิเช่น พระคาถายอดธรรม คาถาค้าขายร่ำรวย คาถามหาลาภ คาถาภาวนาเพ่งรักษาโรคคนป่วย คาถาเป่าโรคหืด เป็นต้น

จากนั้น ท่านบอกว่า สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ท่านก็ยังทำหน้าที่เลขาฯ ท่านเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ พระพุทธิสารโสภณ(บุญส่ง สุขปะปัตโต) พร้อมให้เบอร์โทรเพื่อติดต่อมา

ผมนั่งทบทวนความฝันและความจริงที่ได้พบ

1 เข้าไปบริเวณที่มีบ่อน้ำหรือสระน้ำมากมาย แต่ยังไม่เห็นมีอะไร


2 เข้าไปในวิหารชายคาลาดๆ

 ความจริงคือสถาปัตยกรรมของเชียงใหม่หรือทางเหนือ


3 ตลับใส่พระบรมสารีริกธาตุ 

ความจริงที่ได้รับคือ พระธาตุข้าวบิณฑ์9องค์


4 พระสมเด็จแหวกม่านของหลวงพ่อกวย

 ความจริงคือ มีคนนำพระคาถาที่หลวงพ่อกวยใช้ปลุกเสกพระสมเด็จแหวกม่านไปถวาย


5 พระคาถาในใบลานเป็นพับอยู่บนพานทอง

 ความจริงคือ พระคาถาของพระนพีสีพิศาลคุณ หลวงพ่อพระมหาทองอินทร์


6 หลวงพ่อในฝันบอกว่าจะบอกบุญ

 ความจริงคือ การบอกบุญสร้างพิพิธภัณฑ์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระอัฐิธาตุ


ดังนั้น ความฝัน6เรื่อง ประสพความจริงแล้ว5เรื่อง ขาดอยู่1เรื่อง บ่อน้ำหรือสระน้ำที่มีมนุษย์น้ำโผล่พรวดมาคว้าข้อมือ ทำเอาขนหัวลุก อกสั่นขวัญแขวนไปหมดทำไมไม่เจอ


จึงได้โทรไปและได้สนทนากราบเรียนให้ท่านเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ พระพุทธิสารโสภณ (บุญส่ง สุขปะปัตโต) เจ้าอาวาสวัดล้านนาญาณสังวราราม ซึ่งสำนักงานเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ตั้งอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ขณะสนทนาท่านก็อยู่ที่วัดเจดีย์หลวงด้วย พอท่านฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับความฝันของผมจบลง ท่านเอ่ยทันทีว่า "ความฝันของโยม น่าจะเข้ามาที่วัดนี้แล้ว (วัดเจดีย์หลวง)" เพราะ..............


ภายในบริเวณวัดเจดีย์หลวง มีโบราณวัตถุสถานที่สำคัญอยู่13อย่าง 1ใน13 เรียกว่า บ่อเปิง เป็นบ่อน้ำใหญ่ ลึก ก่อด้วยอิฐกันดินพังไว้อย่างดี คำว่า เปิง แปลว่า คู่ควร-เหมาะสม เป็นบ่อใหญ่สมกับที่ขุดขึ้นมา เพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างพระธาตุเจดีย์หลวง ซึ่งในสมัยที่ พระเจ้าติโลกราช ทรงสร้างเสริม พระธาตุเจดีย์หลวง(พศ.๒๐๒๒-๒๐๒๔)นั้น ทั่วทั้งวัดเจดีย์หลวง มีบ่อน้ำถึง12บ่อ ต่อมาถูกถมไป เพื่อเอาพื้นที่ไปสร้างถาวรวัตถุ


พระธาตุเจดีย์หลวง เป็นพระธาตุเก่าแก่ ก่อสร้างขึ้นเมื่อพศ.1934 สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา นับเป็นพระธาตุที่มีความสูงใหญ่ที่สุดในอาณาจักรล้านนา คือ ประมาณ80เมตร ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ60เมตร ปัจจุบันมีอายุกว่า600ปี


วัดเจดีย์หลวง ได้รับการฟื้นฟูในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ(ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่เป็นองค์สุดท้าย) ได้อาราธนาท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์(จันทร์ สิริจันโท)เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส ขึ้นไปบูรณะและพัฒนาวัดเจดีย์หลวงในช่วงปีพศ.2471-2474 เจ้าคุณพระอุบาลีฯเป็นพระอาจารย์ทางปริยัติของท่านพระอาจารย์หลวงปู่มั่น กุฏิแก้วนวรัตน์ เป็นกุฏิหลังแรกของวัด สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง เจ้าแก้วนวรัฐสร้างถวาย เมื่อปีพศ.2471


ก่อนการสนทนากับท่านเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่จะจบลง ผมได้กราบเรียนถามท่านว่า ฝันแบบที่ผมฝันจะมีความหมายใดครับ ท่านตอบว่า ถ้าพิจารณาทางโลกก็จะร่ำรวย ถ้าพิจารณาทางธรรม ก็เหมือนได้แก้วสามประการ จะรู้ซึ้งธรรมมากยิ่งขึ้น


หลังจากตามล่าหาความจริงจากความฝันอันเหลือเชื่อ ปลายปีพศ.2551 ปีถัดมาคือปีพศ.2552 ผมก็เริ่มต้นยกใหม่ ในเวทีชีวิต ยกที่4คือ ชีวิตวัยเกษียณ ถ้าถาม3ยกที่ผ่านมามีอะไรบ้าง ยกที่1 ชีวิตในวัยเรียน ยกที่2 ชีวิตในวัยทำงาน ยกที่3 ชีวิตในวัยครองเรือน ตอนนี้ยกที่4 ชีวิตในวัยเกษียณ เพื่อชีวิตในยกที่5ยกสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด คือชีวิตหลังความตาย


ผมได้รับการติดต่อจาก คุณทองแท่ง ชูวาธิวัฒน์ เพื่อนรักสม้ยเรียนมหาวิทยาลัย ให้ไปทำหน้าที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารและการจัดการ ที่พิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 แต่ต้องนำชื่อพร้อมประวัตินำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา เมื่อมีหนังสือแต่งตั้งเรียบร้อยมา ถึง ด้วยความภูมิใจที่มีโอกาสนี้ จึงนำจดหมายจะไปให้แม่ดู ไปถึงแม่บอกว่า เมื่อคืนแม่ฝันไปว่า ไม่รู้ใครเอาดอกไม้พวงใหญ่ไปแขวนหน้าบ้านท่านรองประธานศาลฎีกาตรงข้ามบ้านอมร ในฝันแม่รู้สึกว่าเป็นดอกไม้ของในหลวงรัชกาลที่9 แสงของดอกไม้สาดเข้าบ้านอมรเต็มไปหมด ผมก็เลยนำจดหมายแต่งตั้งจากคณะรัฐมนตรีให้แม่ดู


หลังจากนั้น เพื่อนที่เคยทำงานด้วยกันที่ธนาคารกรุงเทพจำกัด ชื่อคุณวีระ ตั้งกิจสิริ ซึ่งทำงานเป็นเลขาธิการพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปภัมถ์ ได้โทรมาเพื่อชักชวนให้ผมรับหน้าที่เป็นกรรมการด้านผลประโยชน์ ที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าทางที่คิดว่าชีวิตยก4 จะทำอะไรบ้าง จึงตอบตกลงไป


พระพุทธเจ้าตรัสว่า เหตุบังเอิญไม่มีในโลก มีแต่เหตุปัจจัยเท่านั้น ปรากฎว่า พระประธานของพุทธสมาคมฯ ซึ่งตั้งอยู่ในห้องประชุมนั้น เป็นพระพุทธรูปของเจ้าแก้วนวรัฐ ที่ประทานให้


เมื่อทำหน้าที่ในพุทธสมาคมแล้ว ผมก็วางกรอบความคิดไว้3ประการ

1 ศีกษาความเป็นมาของพุทธสมาคมฯ

2 ดูว่าขณะนี้พุทธสมาคมฯ ยืนอยู่ที่จุดใด

3 พุทธสมาคมฯควรขับเคลื่อนไปทิศทางใดและอย่างไร


ข้อสรุปของผมคือ

1 ให้เป็นแหล่งที่ศึกษาค้นคว้าปริยัติ คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา

2 ให้มีการจัดการเรียนการสอน วิธีปฏิบัติสมาธิ ให้เป็นสัมมาสมาธิ


แต่จะใช้วิธีการของสำนักกรรมฐานใด ซึ่งมีอยู่หลากหลายในสังคมไทย มาอยู่ในพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปภัมถ์ ต้องพิจารณาโดยถี่ถ้วนและรอบคอบ...........ท้ายที่สุดผมได้นำเสนอหลักสูตร ครูสมาธิ ของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ ท่านผู้ก่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพ วัดธรรมมงคล ศิษย์ของพระอาจารย์หลวงปู่กงมาและพระอาจารย์หลวงปู่มั่น ซึ่งบริกรรม พุทโธ สืบเนื่องมาตามลำดับศิษย์และอาจารย์คือ หลวงพ่อวิริยังค์ หลวงปู่กงมา หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านเทวธัมมี (ม้าว) ท่านพันธุโล (ดี) พระภิกษุวชิรญาณ(พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. ๔) สมเด็จพระญาณสังวร สังฆราช สุก ไก่เถื่อน วัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ร. ๑ ขึ้นครองราชย์แล้ว ในฐานะศิษย์จึงไปกราบนิมนต์ให้ท่านมาอยู่ที่วัดพลับ ที่สำคัญสมเด็จพระสังฆราช สุก วัดพลับ ยังเป็นอาจารย์ของท่านพระอาจารย์สมเด็จโต อีกด้วย


หลังจากความฝันในครั้งนี้ ผมเกษียณจากงานธนาคาร ต่อมาได้ทำงานรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  ชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์พัฒนกิจและนิสิตเก่าสัมพันธ์ จุฬาฯ ศาสนา เป็นอาจารย์สอนสมาธิของสถาบันพลังจิตตานุภาพ วัดธรรมมงคล พระมหากษัตริย์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารและการจัดการ พิพิธภันฑ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอญู่หัว รัชกาลที่ ๙ ชีวิตในยกที่ ๔ ก่อนที่ชีวิตจะเข้าสู่ชีวิตในยกที่ ๕ ชีวิตหลังความตาย ขอสร้างประโยชน์และความสุข ให้แก่ผู้คน โดยเขียนหนังสือ ๒ เล่ม คือ บันทึกการเดินทาง พบโลก พบธรรม และอีกเล่มคือ ความจริงสมเด็จโต


ขอเล่าเรื่องพระอาจารย์หลวงพ่อกวยต่อครับ จากการที่ได้เช่าพระสมเด็จแหวกม่าน พิมพ์ข้างเรียบ ปางสมาธิ ของท่านแล้ว วันหนึ่งได้อ่านหนังสือนิตยสารพระเครื่อง นะโม ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๒๘๔ ๕ก.ย. ถึง ๑๕ ก.ย. ๒๕๓๔ หน้า ๓๒ คอลัมน์ หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม ภาคพิเศษว่าด้วย อภินิหารและปฏิปทา โดย เฒ่า สุพรรณ ได้ลงจดหมายของคนอ่านมาถึงคุณเฒ่า สุพรรณ ความว่า


แจกรูปดวงแก้วพระสีวลีฟรี


เรียน คุณเฒ่า ที่นับถือทราบ

         ผมได้อัดรูปเอกสารเป็นรูปดวงแก้วนิมิตสีวลี ล.พ.กวยไว้ ขณะนี้ได้เอาไปฝาก อ.จ. ที่ผมเคารพนับถือปลุกเสกอยู่ เมื่อปลุกเสกเสร็จแล้ว ผมยินดีที่จะแจกให้กับทุกคนที่ต้องการ แต่มีข้อแม้ต้องส่งซองพร้อมติดแสตมบ์ถึงตัวเองให้เรียบร้อย (ฟรีทุกท่านประมาณ ๑,๐๐๐ ท่าน) ผมเองเคารพนับถือในความศักสิทธิ์บารมี ล.พ.กวยมาก ผมขอแจกรูปดวงแก้วสีวลีเป็นทาน ขออุทิศกุศลมอบถวายแด่หลวงพ่อกวยที่ผมและทุกท่านที่นับถือท่าน ถ้าคุณเห็นว่าสมควรจะลงในหนังสือนะโม กรุณาลงบอกด้วย คนที่ปราถนาจะบูชาก็ขอมาที่ผมได้ฟรี และผมจะส่งส่วนหนึ่งมาให้คุณเฒ่าแล้วแต่คุณจะแจกใครก็ได้เช่นกัน


                                                ด้วยความนับถือ

                                              หมอประสาน ฝังชัยมงคล


ตอบ คุณหมอประสาน ผมเห็นว่าคุณหมอมีเจตนาดีและมีความจริงใจ ใครที่อยากจะได้รูปดวงแก้วสีวลี ปลุกเสกแล้วฟรี ก็ขอไปได้ที่คุณหมอประสาน ฝังชัยมงคล ประสานเวชกรรม ๑๖ ปากซอยวัดไผ่เงิน ถ.จันทน์ สะพาน ๒ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาธร กทม ๑๐๑๒๐ โปรดสอดซองติดแสตมป์ด้วย จ่าหน้าด้วย

ขอขอบคุณคุณหมอที่นับถือ

  ฒ. สุพรรณ


ผมได้อ่านแล้ว ก็คิดว่าทำไมคนเป็นหมอถึงได้เลื่อมใสหลวงพ่อกวยถึงเพียงนี้ น่าจะต้องมีอะไร จึงโทรไปเพื่อขอพบและสนทนาด้วย ทราบว่า นามสกุลที่ถูกต้องของคุณหมอคือ หมอประสาน ผังชัยมงคล ไม่ใช่ฝังชัยมงคลครับ ผมไปพบคุณหมอที่ตึกแถวปากซอยวัดไผ่เงิน ถนนจันทร์สะพาน ๒ ชื่อร้านหมอประสานเวชกรรม เป็นแพทย์แผนจีน จากการสนทนาทราบว่าคุณหมอเดินทางจากประเทศไทยไปเรียนที่จีนแดง ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ครั้งหนึ่งโจวเอนไหล ได้มาพูดที่มหาวิทยาลัย คุณหมอได้ลุกขึ้นพูดแสดงความคิดเห็น จากนั้นมีลูกน้องของท่านโจวเอนไหลมาพาตัวคุณหมอไปพบท่านโจวเอนไหลที่บ้าน ครั้งแรกคิดว่าจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว แต่กลับกลายเป็นท่านโจวเอนไหลให้ความเมตตาต่อคุณหมออย่างมาก คุณหมอเล่าว่า เคยเข้าร่วมกับขบวนการปฏิวัติวัฒนธรรมจีนของท่านเหมาเจ๋อตุง คือ รื้อวัดทำลายศาลเจ้า เมื่อเรียนจบเดินทางกลับไทย วันหนึ่งเพื่อนชวนไปกราบพระชื่อ หลวงพ่อกวย ขัดเพื่อนไม่ได้ก็เลยไป ไปถึงขณะที่ก้มกราบท่าน มือยังไม่ทันถึงพื้น ได้ยินเสียงหลวงพ่อกวยพูดขึ้นว่า "โยมชอบรื้อวัดทำลายศาลเจ้า แล้วมาหาทำไม" คุณหมอรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัยว่าท่านทราบได้อย่างไร ในช่วงนั้นคุณหมอกำลังกังวลใจว่าจะซื้อตึกแถวแต่ไม่มีเงินจะทำอย่างไรดี หลวงพ่อกวยบอกว่า "ไม่ต้องกังวล เพราะจะมีคนมาช่วย" กลับมาแล้วก็นั่งคิดใครจะมาช่วย วันหนึ่งแม่ยายมาพบถามคุณหมอว่า หน้าตาไม่สบายเป็นอะไร ก็เลยพูดให้แม่ยายฟังเรื่องตึกแถว แม่ยายได้ฟังแล้วออกปากว่าจะช่วยเอง คุณหมอก็นึกถึงคำทำนายของหลวงพ่อกวย แต่ใจก็ยังก้ำกึ่งในบุญฤทธื์ของท่าน จึงจุดธูปตั้งจิตอธิษฐานถึงท่านว่า " ถ้าท่านศักดิ์สิทธิ์จริง ขอให้ได้เงินมาทาสีตึกแถว" คืนนั้นนอนแล้วฝันไป มีมู่ลี่ตกลงมาพร้อมเลขเป็นอักษรจีนปรากฎ ตื่นนอนมายังจำได้แม่น มีเพื่อนขี่มอเตอร์ไซมาหาที่บ้าน พูดคุยกันเรื่องทำมาหากิน คุณหมอบ่นกลุ้มใจไม่มีเงินทาสีตึกแถว เพื่อนเป็นคนเดินหวยเลยบอกว่า ทำไมไม่แทงหวยเผื่อถูก คุณหมอเลยนึกถึงความฝัน แต่ก็บอกเพื่อนไปว่า ไม่มีเงิน เพื่อนบอกให้แทงก่อนได้โดยให้ติดเอาไว้ คุณหมอก็เลยแทงไป ๓๐๐ บาท เมื่อเพื่อนกลับไปแล้ว ก็มานั่งคิดว่าถ้าไม่ถูกจะเอาเงินที่ไหนไปให้เขา เลยโทรไปหาเพื่อนขอลดลง ๑๐๐ บาท แทงเพียง ๒๐๐บาท ปรากฏผลหวยออก ถูกตามที่ฝันเห็น จากนั้นคุณหมอก็ไปหาหลวงพ่อกวยบ่อยครั้งขึ้นเพราะเริ่มศรัทธาท่านมากขึ้น ครั้งหนึ่งไปหาท่าน ท่านเพิ่งกดพระเสร็จ ท่านบอกให้ช่วยนำพระออกไปตากแดด มีทั้งหมด ๙องค์ คุณหมอกราบเรียนท่านว่า ขอทำบุญทั้งหมด ท่านบอกว่า กูยังไม่ได้เสก มึงจะเอาไปทำไม คุณหมอบอก ก็เห็นท่านทำไปเสกไป ก็ยืนยันว่าขอทำบุญทั้งหมด ท่านถามว่า มึงจะเอาไปขายเหรอ คุณหมอบอกว่า จะเอาไปให้คนที่รักที่ชอบพอกัน ตกลงท้ายสุดคุณหมอทำบุญไป ๕๐๐ บาทในวันนั้นและได้พระมา ๙ องค์ จากนั้นคุณหมอนำพระที่ได้มาในวันนั้นซึ่งเหลืออยู่ ๒องค์จาก ๙องค์ให้ชม นอกจากนั้นคุณหมอบอกว่า ลูกเมียทุกคนแขวนพระของหลวงพ่อกวยทุกคน และคุณหมอยังมีความสามารถพิเศษที่สามารถเขียนยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้าได้ โดยเขียนไว้หลังรูปถ่ายของเมียและลูกๆทุกคน คุณหมอเล่าว่า ตอนเด็กๆเป็นเด็กวัดคลุกคลีอยู่กับพระ ทำให้ได้วิชาพวกนี้มา จากการได้ชมพระที่คุณหมอนำมาให้ชม ผมเลยขอเช่ากับคุณหมอ ซึ่งเป็นสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ ใบ ในราคา ๑๐,๐๐๐ บาท ผมเลือกองค์ออกสีน้ำตาล ตามที่เพื่อนบอกไว้ว่าถ้าเจอปรกโพธิ์ ๙ ใบ ให้เลือกเช่าองค์สีน้ำตาล เมื่อนำพระกลับมาให้พวกเพื่อนดู เขาบอกว่า ไม่ใช่และไม่ถึงของหลวงพ่อกวย ผมจึงกลับไปหาคุณหมอ โดยขอเปลี่ยนองค์ คุณหมอพูดพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีว่า " วันนั้นผมยังแปลกใจ ทำไมคุณถึงเลือกเอาองค์สีน้ำตาลไป ทั้งที่ผมบอกแล้วว่าองค์นี้ ผมไม่ได้รับจากมือหลวงพ่อกวย ผมเช่ามาจากข้างนอก มี ๒องค์นี้แหละที่ผมได้รับจากมือหลวงพ่อกวย เป็น ๒องค์จาก ๙องค์" ผมจึงนำพระปรกโพธิ์องค์ที่ ๒นี้กลับมา พอไปให้พวกเพื่อนและเซียนดูอีก เขาก็บอกว่าไม่ใช่และไม่ถึงของหลวงพ่อกวยอีก ผมจำเป็นกลับไปหาคุณหมอครั้งที่ ๓ แล้วเล่าให้คุณหมอฟังว่า" เขาบอกว่าไม่ใช่และไม่ถึงของหลวงพ่อกวย" คุณหมอเริ่มมีอารมณ์โกรธพร้อมพูดว่า "ผมอยากจะรู้นักว่า เซียนที่คุณพูดถึงเคยได้กราบหลวงพ่อตอนท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า สมัยที่ผมไปต้องขี่มอเตอร์ไซเข้าไป พระปรกโพธิ์เป็นพิมพ์ของใครของมัน ผมไม่ให้ใครเลย ผมให้คุณได้ยังไง เป็นบุญของคุณ คนมียศศักดิ์เป็นนายพล ขอผมดู ผมยังไม่ให้ดู ผมไม่นึกว่าคุณจะมาเช่าพระผม หลวงพ่อพรหมวัดขนอนเหนือ ผมไปรักษาท่าน ผมแขวนพระหลวงพ่อกวยอยู่ในอก ท่านบอกว่าพระองค์นี้รัศมีแรงนะ โยมหมอรักษาให้ดีนะ" จากนั้นคุณหมอนำเงินมาคืนผมพร้อมพูดว่า" ผมขอหักเงินคุณไว้ ๓,๐๐๐บาท ในฐานะที่คุณไม่เชื่อคำพูดของผม " ผมจึงพูดขึ้นว่า "ถ้าอย่างนั้นผมขอดูพระในคอที่พี่หมอแขวนไว้หน่อย องค์ประธานคือองค์ปรกโพธิ์ ๙ ใบ" คุณหมอแกะองค์นี้ออกให้ผมดู ผมตัดสินใจบอกคุณหมอว่า "ถ้าอย่างนั้น ผมขอองค์นี้แล้วกัน" คุณหมอนิ่งเงียบ หลังจากนั้นคุณหมอบอกเอาเงินคุณคืนไป ๑๐,๐๐๐ บาท ผมไม่ให้คุณเช่าแล้ว ผมยืนยันที่จะไม่รับเงินคืนจากคุณหมอ พร้อมรับพระที่แกะออกจากคอคุณหมอกลับมา เมื่อนำพระองค์นี้เข้าสู่วงการ ก็ยังมีเซียนบางคนบอกว่า "ไม่ใช่และไม่ถึงของหลวงพ่อกวยอีก" แต่ผมมั่นใจว่าเป็น ๑ใน ๙องค์ที่คุณหมอนำจากมือหลวงพ่อกวยไปตากแดดและขอบูชาจากท่านมา โดยถวายเงินทำบุญไป ๕๐๐ บาท


วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๒ เข้าเวปเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณหมอประสาน ผังชัยมงคล มีข้อมูลปรากฎว่า


หมอประสานเวชกรรม
๑๖ ปากซอยวัดไผ่เงิน ถ.จันทร์ สะพาน ๒ 
แขวงทุ่งวัดดอน ยานนาวา กทม.๑๐๑๒๐ โทร.๒๑๑๗๔๒๕
เรียน อ.สมจิตต์ ทราบ

ผมขอส่งรูปดวงแก้วพระสิวลีมาให้คุณตามสัญญา วันนี้ผมไปรับรูปดวงแก้วส่วนที่เหลือจากการแจกครั้งก่อน ประมาณ ๖๐๐ กว่าใบ ซึ่งผมได้เอาไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก ณ วัดบุคโล ฝั่งธนบุรี ซึ่งมีการพุทธาภิเษก ๕ วัน ๕ คืน ผมขอมอบให้คุณไว้แจก ๓๐๐ รูป และยังเหลือที่ผมอีกประมาณ ๓๐๐ กว่ารูป ถ้ามีใครต้องการขอมาทางผมก็ได้ ขอขอบพระคุณที่ลงในนะโม อ้อ ลงนามสกุลผมผิดครับอาจารย์ นามสกุลผม ผังชัยมงคล ไม่ใช่ฝัง ครับ ขออภัยครับ

ด้วยความนับถือ

ประสาน ผังชัยมงคล 

ตอบตอบ คุณหมอประสาน ขอขอบพระคุณเรื่องรูปดวงแก้วที่ทำแจกรูปของคุณหมอนี้ ใครต้องการขอมาได้ฟรี ห้ามทำบุญ รูปนี้เล็กจิ๋วขอโทษคุณหมอด้วย เขียนนามสกุลผิด

ขอบคุณครับ

เฒ่า สุพรรณ





ผมอ่านจบแล้วจึงได้โทรไปหาคุณหมอ ซึ่งจากการเช่าพระวันนั้นแล้ว ผมได้พบคุณหมอในงานวันเกิดของคุณหมอหนึ่งครั้ง โดยคุณหมอได้โทรมาชวนให้ไปร่วมงาน จากวันนั้นถึงวันนี้ ระยะเวลาห่างกันถึง ๑๗ ปี ที่ไม่ได้เจอกัน แต่คุณหมอยังจำผมได้ คุณหมอยังเล่าถึงบรรยากาศวันที่ไปได้พระสมเด็จปรกโพธิ์ ๙ใบหลังยันต์ลอย พ.ศ. ๒๕๑๓ ที่ผมได้ขอเช่าจากคุณหมอมาว่า "วันนั้นผมไปกราบหลวงพ่อกวย พอดีท่านเพิ่งกดพิมพ์พระเสร็จทั้งหมด ๙ องค์ ให้ผมนำออกไปตากแดด ผมจึงเอ่ยปากกับท่านว่าขอทำบุญทั้งหมด" ท่านพูดว่า "กูยังไม่ได้เสก มึงจะเอาเหรอ" และท่านยังถามอีกว่า "มึงจะเอาไปขายเหรอ" คุณหมอได้ถวายเงินท่านไป ๕๐๐ บาท ท่านไม่รับและไม่จับเงิน ท่านบอกให้เอาไปใส่ตู้ คุณหมอบอกว่า ผมโชคดีมากแล้วที่ได้พระปรกโพธิ์ ๙ ใบไปเพราะคุณหมอก็เหลืออยู่ ๑ องค์เช่นเดียวกัน คุณหมอเล่าต่อว่า "หลวงพ่อกวย ท่านเห็นใครมานั่งอยู่นานๆ ท่านจะไล่ให้กลับ สังเกตุเห็นลูกตาท่านมีนัยตาสีฟ้า ดูผิดปกติจากคนทั่วไป ครั้งหนึ่งคุณหมอตั้งใจจะไปถามท่านเรื่องการงานอาชีพและได้พาภรรยานั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซไปด้วย ไปถึงท่านบอกพาเมียมาด้วยมันไกลนะ กลับไปเถอะ อย่าเปลี่ยนอาชีพเลย เป็นหมอดีแล้ว (คุณหมอตั้งใจจะไปถามเพื่อเปลี่ยนอาชีพไปขายประกัน ยังไม่ทันจะถามเลย ท่านพูดขึ้นแล้ว) ท่านบอกเป็นหมอดีแล้ว วันหน้าเอายาหอมมาให้ท่านบ้าง ตอนหลังคุณหมอเลยนำยาหอมไปถวายท่านเดือนละครั้งและแวะกราบหลวงพ่อรวม ๓ องค์ คือ หลวงพ่อโป่ง วัดท่าช้าง อ่างทอง องค์นี้เก่งมากในการทำเบี้ยแก้ ท่านให้คุณหมอถือเบี้ยแก้ห่างจากท่าน ๒วา เสกปรอทดังพรอกเข้าหอยเบี้ยที่คุณหมอถือไว้อย่างเหลือเชื่อ จากนั้นก็นำชันโรงมาปิด องค์ที่สองคือหลวงพ่อกวย ตอนไปกราบท่านครั้งแรกๆ ท่านถามว่าไม่เอาพระเครื่องไปใช้บ้างเหรอ คุณหมอบอกครั้งแรกๆไม่ได้สนใจ ท่านบอกว่าวันหลังจะเสียใจองค์ที่สามคือหลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา จากการสนทนากับคุณหมอวันนี้ทราบว่าคุณหมออายุมากกว่าผม ๔ ปี ผมเกิด ๒๔๙๑ ปีนี้ย่าง ๗๑ปี คุณหมอเกิด ๒๔๘๗ อายุย่าง ๗๕ ปี ฟังจากน้ำเสียงของคุณหมอแล้ว ยังแข็งแรงมาก เสียงเหมือนคนหนุ่มๆ



ฮือฮา "หลวงพ่อโปร่ง" วัดท่าช้างละสังขาร 26 ปีไม่เน่าเปื่อย

วันที่เผยแพร่ วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2560 เวลา 12:53 น
.






ปาฏิหาริย์ "หลวงพ่อโปร่ง" แห่งวัดท่าช้าง เมืองวิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง สังขารไม่เน่าเปื่อยร่วม 26 ปี เผยในอดีตเป็นภิกษุเรืองอาคมช่วยเหลือรักษาโรคภัยให้ชาวบ้าน



เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดท่าช้าง ต.สี่ร้อย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง พบสังขารพระภิกษุนอนอยู่ในโลงแก้วและไม่เน่าเปื่อย พระภิกษุองค์ดังกล่าวเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าช้าง มีชื่อเรียกว่า หลวงพ่อโปร่งปัญญาธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าช้าง เกจิผู้เรืองวิทยาอาคม คอยรักษาโรคภัยต่าง ๆ จนเป็นที่นับถือและมีลูกศิษย์มากมายทุกภูมิภาคของประเทศ โดย พระครูสังขรักษ์อนาลโย เจ้าอาวาสวัดท่าช้าง กล่าวว่า ในอดีตวัดท่าช้างไม่มีภิกษุจำพรรษาอยู่ ชาวบ้านในละแวกนี้จึงได้เข้าไปกราบขอพระภิกษุจากหลวงพ่อคำ แห่งวัดโพธิ์ปล้ำ เกจิชื่อดังของแขวงเมืองวิเศษชัยชาญที่เป็นที่นับถือ ซึ่งหลวงพ่อคำได้มอบหมายให้พระภิกษุคนสนิทที่มีชื่อว่า "โปร่ง" เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าช้าง และทำนุบำรุงวัดจนเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าขานมาว่า ท่านเป็นพระภิกษุผู้เรืองอาคมสามารถเสกปรอทเข้าเบี้ยแก้ได้ใช้เพียงพระคาถา



พระครูสังขรักษ์อนาลโย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ หลวงพ่อโปร่ง ยังชำนาญการรักษาโรคภัยต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านในเมืองวิเศษชัยชาญ ซึ่ง "หลวงพ่อโปร่ง" ได้ละสังขารไปเมื่อวันที่ 21 ธ.8. 2533 โดยทางวัดได้นำสังขารปิดทองบรรจุไว้ในโลงแก้วตั้งไว้ในกุฏิ เพื่อให้ศิษยานุศิษย์สาธุชนทั่วไปได้กราบสักการะ แม้เวลาผ่านไปนานกว่า 26 ปี สังขารของท่านก็ยังไม่เน่าเปื่อยแต่อย่างใด ทั้งนี้ วัตถุมงคลของท่านที่มีชื่อเสียง ได้แก่ เบี้ยแก้ และเหรียญรุ่นแรกปี 2500 โดยเบี้ยแก้ของหลวงพ่อโปร่งติดอยู่ในเบี้ยแก้ที่ได้รับความนิยม เป็น 1ใน 5 รองจาก หลวงพ่อภักต์ วัดโบสถ์หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน และหลวงพ่อซำ วัดตลาดใหม่ สุดยอดเกจิของชาววิเศษชัยชาญ










ประสบการณ์กับหลวงปู่สงฆ์ จันทสาโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

ช่วงที่ค้นคว้าตามหาความจริงสมเด็จโตอยู่นั้น เข้าไปอ่านหนังสือพระเครื่องมากมาย ทำให้เกิดความคิดสนใจที่จะไปกราบพระที่วัดนั้นๆ ตั้งโปรแกรมครั้งแรกไปทัวร์วัดทางภาคใต้ วัดแรกที่ไปคือวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ไปถึงพบว่าสังขารของหลวงปู่สงฆ์ ไม่เน่าเปื่อย แต่สภาพรอบๆสังขารท่านวางสิ่งของไม่สู้จะเป็นระเบียบนัก ไม่สมกับสภาพสังขารของท่าน จึงได้ไปพูดคุยกับหลวงพี่ที่มาดูแลว่า น่าจะจัดให้เป็นระเบียบและควรติดป้ายประกาศว่ามาถึงวัดควรทำอะไรบ้าง เช่น 

๑ ทำบุญ ควรมีตู้ตั้งรับบริจาค ๔ ตู้ ตู้อาหาร ตู้ที่อยู่อาศัย ตู้เครื่องนุ่งห่ม ตู้ยารักษาโรค

๒ มีทางเดินจงกรม นั่งสมาธิ สวดมนต์ หน้าสังขารหลวงปู่

๓ เมื่อกราบลากลับ ก็ลงไปทำทานอุดหนุนชาวบ้านที่นำของมาขาย

เท่ากับว่า สอนผู้คน ที่มาวัดให้รู้จัก ทำบุญทำทานเจรฺิญภาวนาโดยเดินจงกรม นั่งสมาธิ และสวดมนต์

หลวงพี่ครั้งแรกที่ฟัง เหมือนโต้แย้งอยู่บ้าง ว่าทำไม่ได้เพราะอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ก็ดูอ่อนลงในตอนท้ายของการสนทนา เมื่อลงมาถึงกรุงเทพ วันหนึ่งเพื่อนสนิทชื่อทองแท่งมาหา เลยไปนั่งคุยกันที่ร้านอาหาร ผมก็เลยพูดว่า วัดในประเทศไทยน่าจะจัดระเบียบให้เป็นเรื่องราวว่ามาถึงวัดควรทำอะไรกันบ้าง ทองแท่งเลยบอกมีอยู่วัดหนึ่งทำเหมือนที่ผมต้องการเลยพร้อมบอกชื่อวัด ว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย เพราะทองแท่งเพิ่งไปมาและไปพบ ผมก็เลยเล่าให้ฟัง ว่าที่เป็นดังนี้เพราะหลวงพี่ท่านฟังแล้วเห็นด้วยกับผม ขณะเดียวกันโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น เมื่อรับ ทราบว่า พี่ศรศักดฺิ์ ผู้จัดการฝ่ายกฎหมาย ธนาคารกรุงเทพจำกัด โทรมาว่า "อมร ที่พี่เคยเล่าว่าคนขับรถของพี่ เป็นศิษย์ของหลวงปู่สงฆ์แต่ไม่ได้เจอกันหลายปีมาแล้ว วันนี้เขามาหาพี่ เพื่อมาเรียนเชิญพี่ไปร่วมงานแต่งงานของลูกสาวเขา นอกจากนี้เขาบอกให้เช่าพระเนื้อผง ๒ องค์และรูปเหมือนของหลวงปู่สงฆ์ในราคา ๓,๐๐๐บาท น่าจะใช้เงินในงานแต่งของลูกถึงได้ยอมปล่อยพระของหลวงปู่ที่ตนเองใช้มานาน ไม่ทราบว่าอมรสนใจหรือไม่" ผมก็เลยตกลงเช่ามาบูชาตามที่ได้อธิษฐานเอาไว้



ประสบการณ์กับหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่


ตอนไปวัดหลวงพ่อสงฆ์ ขากลับก็อธิษฐานจิตว่า วัดต่อไปถ้าจะไปควรจะเป็นวัดไหน แล้วก็หลับตาเปิดหน้าหนังสือพระเครื่อง รวมภาพพระคณาจารย์ดังในอดีตพรัอมประวัติ ผลการเสี่ยงทาย เปิดได้หน้าที่ ๑๕๕ หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ มีการบรรยายว่า " พระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งของเมืองขุนแผน ที่มีคนศรัทธานับถือมาก เวลาท่านปลุกเสกพระเครื่อง เกิดอภินิหารพระเครื่องบินว่อนเหมือนผีเสื้อ เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นที่แปลกใจว่า ทำไมพระเครื่องของท่านคนชอบใช้กันมาก เหรียญรุ่นแรกของท่านออกเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๐ ปัจจุบันหาของแท้ยากมาก"

ผมอ่านแล้ว ก็อมยิ้มอยู่ในใจ แหมปลุกเสกพระเครื่องบินว่อนเหมือนผีเสื้อ น่าจะเขียนเกินจริง แต่อธิษฐานไว้แล้ว ก็ต้องเดินทางไป ไปถึงวัดถึงได้ทราบว่า ศพท่านไม่เน่าเหมือนกัน ตั้งอยู่ในมณฑปใหญ่ ทำให้รู้สึกตื่นเต้น อยากทราบประวัติของท่านเพิ่มเติม ได้เดินไปคุยกับแม่ค้าที่ขายเครื่องดื่มบนรถเข็น แม่ค้าเล่าว่า "คุณรู้จักขวัญจิตขวัญใจ ศรีประจันต์ไหม ตอนสาวๆเขาสวยมาก ขวัญใจถูกคนเขาทำเสน่ห์ใส่ ญาติเขาต้องพามาที่วัด ให้หลวงพ่อมุ่ยช่วย เขาปิดกุฏิ ฉันไปแอบดู เห็นหลวงพ่อมุ่ยเอามีดหมอกดกลางหลังขวัญใจ เห็นมีน้ำสีดำๆไหลออกมาจากหลังขวัญใจ หลังจากนั้นขวัญใจก็หาย

เด็กๆแถวนี้แขวนลูกสำโรงต้นที่อยู่หน้ากุฏิหลวงพ่อพร้อมชี้ให้ดู หลวงพ่อเพ่งต้นสำโรงนี้ทุกวัน  เด็กถูกหมากัด หมายังกัดไม่เข้า ดึงยืดเป็นหนังสะติ๊กเลย  เสียดายคุณไม่ได้มาตอนหลวงพ่อยังมีชีวิต เวลาท่านปลุกเสกพระเครื่อง พระเครื่องนี้บินว่อนเชียว ถ้าใครใส่พระเครื่องไว้ในคอ หลวงพ่อจะให้ถอดออก มิฉะนั้นเวลาหลวงพ่อปลุกเสกสร้อยในคอจะตั้งชันขึ้นเลย ผมถามว่าเห็นกับตาเลยหรือ แม่ค้าบอกเห็นกับตา คนแถวนี้เห็นกันทุกคน

ผมก็เลยถามว่า "อย่างนั้นก็มีพระหลวงพ่อมุ่ยเยอะสิ" แม่ค้าบอกว่า " ลูกชายมีเยอะมากเป็นกระป๋อง" "ถ้าอย่างนั้นขอแบ่งให้ผมเช่าบ้างสิ" "ลกชายถูกขโมยเข้าบ้าน เอาไปหมด ลูกชายร้องไห้อยู่นาน" ผมก็เลยอดได้เลย

วันหนึ่งอยู่ที่ทำงาน ลูกน้องถามว่า พี่รับไปบรรยายให้บริษัทอมิโก้ไหม เมื่อถามถึงหัวข้อการบรรยาย จึงได้นัดแนะกับผู้บริหารของบริษัทพบกันที่โรงแรมมณเฑียร ระหว่างที่รอก็ไปเดินเล่นที่ศูนย์พระเครื่อง ไปพบพระสมเด็จตะกรุด ๓ กษัตริย์ ของท่านหลวงพ่อมุ่ยและเมื่อเดินไปอีกร้านหนึ่งเจอพระสมเด็จแผ่นดินไหว ของท่านหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง อุตรดิตถ์ ทั้ง ๒ องค์ราคาเช่าคือ ๑๕,๐๐๐ บาท พระหลวงพ่อมุ่ย ๗,๐๐๐ บาท พระหลวงปู่ทองดำ ๘,๐๐๐บาท หลังจากบรรยายเสร็จรับเงินมา ๑๕,๐๐๐บาท พอดีกับการเช่าพระทั้ง ๒ องค์พอดี

อีกวันหนึ่ง เลิกงานแล้วและนั่งสมาธิอยู่ ได้อธิษฐานว่าขอให้มีโชคลาภเพื่อจะได้ไปเช่าพระของหลวงพ่อมุ่ยที่เดอะมอลงามวงศ์วาน เพราะไปเดินเล่นแล้วพบพระรูปเหมือน พระสมเด็จหลวงพ่อมุ่ย เหรียญรุ่นเสาร์ห้า ตะกรุด เมื่อถามราคา เจ้าของร้านชื่อกิตติบอก แปดหมื่นกว่าบาท เราก็เลยบอกว่า วันหน้าจะมาเช่า เขาบอกว่า พูดแบบนี้ไม่เคยมาสักคน ไอ้เราก็นึกฉุนอยู่ในใจ ว่าทำไมถึงพูดถูกใจดำ แต่ก็นึกอยากได้พระรูปเหมือนรุ่นหนึ่งของท่านอย่างมาก และอยากไปเช่าที่มาทายถูกใจดำเรา พอออกจากสมาธิ โทรศัพท์ดังขึ้น สายจากลูกน้องเก่าชื่อไก่ โทรมาชวนไปกินข้าวและนั่งคุยกัน คุยกันจนใกล้สองยาม ไก่พูดขึ้นว่า "มีพระอยู่องค์หนึ่งให้หวยผมมา" ก็เลยถามว่า "แล้วถูกหรือเปล่า" "ถูกอะไรละ่พี่ หวยยังไม่ออก ออกพรุ่งนี้"  ก็เลยเข้าใจและจำเลขหวยที่ได้มา ตอนเช้าตื่นขึ้นมา โทรไปหาแม่ว่า "แม่ยังเล่นหวยอยู่หรือเปล่า แทงหนึ่งบาทสองตัวได้เท่าไหร่" สรุปแล้วฝากแม่แทงเลข ๕๕ ไป ๑,๐๐๐บาท ปรากฎเลขท้ายสองตัวออก ๕๕ ได้เงินมา ๗๐,๐๐๐บาท จึงไปเช่าพระหลวงพ่อมุ่ยจากเซียนกิตติ พร้อมคุยว่า "บอกแล้วว่าจะมาเช่า ก็ต้องมาสิ" เซียนกิตติบอกขอถามหน่อยทำไมถึงเช่าไปเยอะขนาดนี้ เช่าไปให้ใครหรือ ผมไม่ได้ตอบไปหรอกว่า " เช่าไปเยอะขนาดนี้ เพราะอธิษฐานกับพระอาจารย์หลวงพ่อมุ่ยไว้ ถ้ามีโชคลาภจะมาเช่าพระของท่านที่ไปดูเอาไว้ และคุณได้พูดปรามาสผมเอาไว้ว่า พูดอย่างนี้ ไม่เคยมาสักคน"

ประสบการณ์กับหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง อุตรดิตถ์

วันหนึ่งได้อ่านหนังสือพิมพ์คมชัดลึกฉบับ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ในคอลัมณ์ พระเครื่องคู่ใจคนดัง เป็นการสัมภาษณ์พล.ต.ต.ธีรจิตร์ อุตมะ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เล่าว่า "สำหรับเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่ พล.ต.ต.ธีรจิตร์ ไม่เคยลืมเลย มีอยู่ ๒ ครั้งคือ เหตุการณ์แรก เกิดขึ้นระหว่างเป็นสารวัตรอยู่ สภ.อ.เมือง อุตรดิตถ์ ปีพ.ศ.๒๕๒๔ ครั้งนั้นมีผู้เสียหายเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ขี่รถจักรยานไปบนทางคันนา แล้วถูกขว้างระเบิดเข้าใส่ ทำให้รถจักรยานพังเป็นชิ้นๆทั้งคัน  น่าประหลาดใจมาก ที่ตามร่างกายของเขาไม่มีบาดแผลใดๆเลย แต่ตามผิวหนังมีเพียงรอยเหมือนถูกน้ำมันลวกเท่านั้น เมื่อสอบปากคำปรากฎว่า ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคนนี้เป้นลูกศิษย์ หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง อุตรดิตถ์ พระเกจิดังของเมืองนี้"

โดยก่อนหน้านี้ ชายผู้นี้ก็เคยถูกลอบยิงมาแล้ว เข้าที่ชายโครงเป็นรอยจ้ำๆของลูกกระสุนปืนเท่านั้น ไม่มีบาดแผลแต่ประการใด กระสุนไม่สามารถเจาะเข้าเนื้อหนังมังสาได้เลย

ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดกับผู้ช่วยผุ้ใหญ่บ้านคนเดียวกัน โดยเกิดขึ้นในปีพ.ศ.๒๕๒๕ ขณะเขานอนซ่อมบ้าน แล้วเอาสร้อยที่มี พระหลวงพ่อทองดำ แขวนไว้ที่เสาบ้าน ระหว่างนั้นเองได้ถูกคนร้ายลอบยิง โดยมีสาเหตุจากความขัดแย้งกับชาวบ้านในพื้นที่ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง วิถีกระสุนที่กระหน่ำยิงเข้ามานั้น เข้าตรงจุดบริเวณลำคอ แต่กระสุนดังกล่าวยิงไม่เข้า เพียงแต่เป็นรอยวิถีกระสุนเท่านั้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่สามารถบอกได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร........?


จากนั้นผมได้อ่านนิตยสาร คู่มือนักสะสมฉบับที่ ๒๘ หน้า ๓๘ ปีพ.ศ. ๒๕๓๘ ธวัช เข็มครุฑได้เขียนถึงประวัติหลวงปู่ทองดำ ว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พอผมทราบว่าหลวงปู่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน ทำให้อยากจะพบอยากจะกราบท่าน เพราะผมเคยฝันเห็นหลวงพ่อเงิน ตอนที่พ่อของผมให้พระเนื้อดินมาองค์หนึ่งพร้อมบอกว่า เป็นของหลวงพ่อเงิน ผมยังแย้งพ่อไปว่า ในหนังสือพระเครื่องไม่เคยมีพิมพ์นี้ พ่อบอกว่า ก็พ่อได้มา คนให้บอกพ่อมาอย่างนี้ เซียนรู้จักพระเครื่องไม่หมดหรอก ทำให้ก่อนนอนคืนนั้น ผมนั่งสมาธิและตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงพ่อเงิน (รายละเอียดให้ไปอ่าน ตามล่าหาความจริงในปีพ.ศ.๒๕๔๔) ผมจึงได้โทรศัพท์ทางไกลตรวจสอบข้อมูลไปที่วัดท่าทอง อุตรดิตถ์ ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะทราบว่า ท่านเกิดปีพ.ศ.๒๔๔๑ ขณะโทรไปปีพ.ศ.๒๕๔๕ อายุท่าน ๑๐๔ ปีย่าง ๑๐๕ ปี ได้ทราบว่า ท่านไม่อยู่ ผมเลยพูดไปว่า ท่านมรณะแล้วหรือครับ ทางวัดตอบว่า ไม่ใช่ ท่านไม่อยู่วัด มีคนมานิมนต์ท่านไป ผมคิดในใจว่า อายุขนาดย่าง ๑๐๕ ปี ยังมีคนนิมนต์ไปอีกหรือ จากการสนทนาทำให้ทราบว่า พระเครื่องสุดยอดของท่านคือ " พระสมเด็จรุ่นแผ่นดินไหว สร้างปีพ.ศ.๒๕๑๓" แต่หายากมากที่วัดไม่มีแล้ว และทราบว่า วัดมีกุฏิให้คนไปปฏิบัติสมาธิได้พักอาศัยด้วย จึงแจ้งความจำนงค์ไปว่าจะไปอยู๋ปฏิบัติสมาธิ  ๙ วัน หลังจากนั้น (ตามที่เล่าไว้ในประสบการณ์หลวงพ่อมุ่ย) ทางเจ้าของบริษัทอมิโก้ ได้ติดต่อเชิญไปบรรยาย โดยนัดพบกันที่โรงแรมมณเฑียร ผมไปก่อนเวลา เลยไปเดินเล่นที่ศูนย์พระ ที่ร้านของน้อย อุตรดิตถ์ พบพระสมเด็จแผ่นดินไหวปีพ.ศ.๒๕๑๓ ของหลวงปู่ทองดำ ๑ องค์ เปิดราคามาเป็นหมื่น ผมเลยเล่าให้ฟังว่า กำลังจะไปวัดท่าทอง เพื่อปฏิบัติสมาธิ โดยใช้วันลาพักผ่อน เซียนน้อย อุตรดิตถ์ ใจดีและได้บุญด้วย จึงยอมปล่อยให้ผมในราคา ๘,๐๐๐ บาท ผมจึงกราบนิมนต์ท่านขึ้นคอ เดินทางไปวัดท่าทอง อุตรดิตถ์

นั่งรถบขส.จากหมอชิตไปถึงท่ารถอุตรดิตถ์เช้ามืด นั่งมอเตอร์ไซด์ไปวัดท่าทอง ไปถึงยังมืดอยู่ หมาเห่ากันเกรียว นั่งอยู่คนเดียว จนใกล้สาง พระเริ่มออกบิณฑบาตร จึงได้ไปสอบถามท่านว่า หลวงปู่ทองดำพักอยู่ที่ไหน จะเข้าพบได้กี่โมง นั่งรอตั้งแต่เช้าจนสาย อาคารที่หลวงปู่พักอยู่ก็ยังไม่เปิดประตู เลยออกเดินไปรอบๆวัด ไปพบพี่แผน อยู่ทิม บ้านอยู่ด้านหลังวัด อาชีพค้าขายของชำและทำโรงอิฐเผา เล่าให้ฟังว่า

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ปรากฎในข่าว คมชัดลึก ฉบับ ๑๐ กพ. ๒๕๔๕ น่าจะชื่อ ชลอ ม่วงสาย เป็นคนดีไม่น่าจะมีใครทำอะไร แต่ภายหลังขับรถบขส.อัดกับสิบล้อขนอ้อย แถวหลังพระแท่นศิลาอาสน์ ตัวไม่มีแผลแต่ถูกอัดก๊อปปี้ตาย

พี่แผนเล่าเพิ่มเติม นายรัก เกตุทิม อาชีพชาวนา ถูกยิงไม่เข้า แขวนเหรียญกฐินรูปไข่ทองแดงปี ๒๕๒๙

พี่แผนเอง เกิดอุบัติเหตุ รถตกข้างทาง คอต่อหลุด นอนโรงพยาบาล ๓ เดือน พยาบาลว่าไม่รอดแน่ แขวนสมเด็จแผ่นดินไหวและลงมือตำเอง

พี่แผนเล่าว่า คนเมืองชลฯมาเช่าเหรียญกฐินรูปไข่ราคา ๑๐๙ บาท เป็นกฐินสามัคคีปี ๒๕๓๖ กลับไปถูกยิงไม่เข้า กลับมาเช่าใหม่หมดไปแล้ว ขณะนั้นเหลือแต่เหรียญเงินปี ๒๕๓๖ (ราคา ๕๙๙ บาท)

คุยกับพี่แผนเสร็จ ผมเดินกลับเข้าวัด อาคารชั้นเดียวที่หลวงปู่พักอยู่เปิดแล้ว มีคนมานั่งรอหลวงปู่เต็มไปหมด สักพักหนึ่งเห็นพระรูปหนึ่งเข็นรถเข็นออกมา มีพระภิกษุชราองค์หนึ่งนั่งมาในรถคันนั้น มาฉันอาหารเช้า โดยมีพระคอยตักอาหารป้อนพระภิกษุชรารูปนั้น ผมคิดว่า น่าจะมาผิดวัดเสียแล้ว หลวงปู่ยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย แล้วจะช่วยคนอื่นๆได้อย่างไร เมื่อหลวงปู่ฉันเสร็จแล้ว ก็เข็นรถหลวงปู่ออกมาพร้อมให้ศีลให้พรและประพรมน้ำมนต์ จากนั้นก็เข็นหลวงปู่เข้าห้องพักด้านหลัง

จากนั้นผมก็ไปแนะนำตนเองต่อพระพี่เลี้ยงหลวงปู่ คือพระปลัดทองแดง ท่านก็ให้ผมเลือกกุฏิที่พักที่สร้างไว้มากกว่าสิบหลัง รอบอาคารที่พักของหลวงปู่ แต่มีผมมาพักเพียงคนเดียวเท่านั้น ผมทราบว่า ตอนเย็นหลวงปู่จะฉันอาหารอีกครั้ง เพราะหลวงปู่ป่วยจึงฉันได้ ตกเย็นผมจึงเข้าไปกราบหลวงปู่อีกครั้ง จากการได้สนทนากันในตอนเย็น หลวงปู่เปลี่ยนไปจากที่เห็นเมื่อตอนกลางวันมากเหลือเกิน แทบจะเป็นคนละองค์ทีเดียว ผมได้แนะนำตนเองและพูดถึงวัตถุประสงค์ที่ผมมารักษาศีลและปฏิบัติสมาธิ ว่าผมตั้งใจว่าทุกปี ผมจะใช้วันลาผักผ่อนปีละ ๙ วัน หาวัดเพื่อรักษาศีลและนั่งสมาธิ หลวงปู่พูดว่า ดีแล้ว อย่างเรานี่ตายไป ก็ได้ไปเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ ๓ เดือน ผมบอกว่า ทำไมน้อยอย่างนี้ หลวงปู่บอกบนสวรรค์เมื่อเทียบเวลากับโลกมนุษย์แล้วมันนานมาก

วันพุธ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๕ พุทธศักราช ๒๔๔๑ ณ.บ้านไซโรงโขน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร นายบุญนาค นางจ่าย แม่พริ้ง ได้ให้กำเนิดบุตรคนที่ ๔ เพศชาย(ในจำนวนพี่น้องชายหญิง ๘ คน) บิดามารดาได้ตั้งชื่อ เด็กชายทองดำ เม่นพริ้ง

ขณะเด็กชายทองดำ อายุ ๓ ขวบ บิดามารดาได้นำไปถวายเป็นบุตรบุญธรรมกับหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ (หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร) หลวงพ่อเงินเห็นครั้งแรกได้เอ๋ยคำออกมา "ไอ้หนูเด็กน้อยคนนี้เป็นเทวดามาเกิด ใครเลี้ยงก็ไม่ได้ มาเป็นลูกของเราเถิดนะ" หลวงพ่อเงินเอาผ้าผืนลงปูรองรับเด็กน้อยคนนี้ ทำพิธีรับลูก
     
จากนั้นเด็กคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูอุปถัมภ์ สั่งสอน อบรม วิชาความรู้ และสรรพวิชาต่าง ๆ โดยได้พักอาศัยกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อเงิน ท่องบทสวดมนต์เด็กชายทองดำก็สามารถท่องได้จบเล่มในวันเดียว ชาวบ้านรู้ข่าวต่างแห่มาดูการใหญ่ว่าเด็กน้อยคนนี้มีหน้าตาอย่างไร
กระทั่งโตขึ้นบิดามารดามารับเด็กชายทองดำไปเล่าเรียนศึกษากับอาจารย์โต (เจ้าอาวาสวัดท่าทอง ต.วังกะพี้ จ.อุตรดิตถ์ในสมัยนั้น)











 **ตามล่าหาความจริงปี2547

ปีพ.ศ.2547 ผมได้รับเชิญไปบรรยายทีส.ป.ก. สำนักงานการปฏืรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ในโอกาสครบรอบวันสถาปนา 29ปี ในหัวข้อ เชาวน์อารมณ์และเชาวน์ปัญญา ก่อนบรรยายผมได้บอกเพื่อนสนิทที่ทำงานอยู่ที่นั่นชื่อทองแท่ง ชูวาธิวัฒน์ว่า เมื่อจบการบรรยายขอไปวัดปรินายก เชิงสะพานผ่านฟ้า ใกล้กับสปก. เพื่อไปกราบพระอาจารย์กิตติมา วัดปรินายก เมื่อพบท่านผมได้เรียนท่านว่า "ท่านคงจำผมไม่ได้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมเคยมาขอฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่จากท่าน และท่านได้เมตตาทำนายทายทักว่า ผมจะได้สมเด็จวัดระฆังเข้าบ้าน และผมก็ได้จริงๆครับ "  พร้อมกันนั้นผมก็ส่งพระให้ท่านดูและพูดต่อว่า "แต่ทำไม ไปให้เซียนดู เขาบอกว่าไม่แท้ล่ะครับ" ท่านพูดว่า "การได้พระสมเด็จมาไว้บูชา ก็นับว่าเป็นบุญเป็นวาสนาของโยม เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ภายในเดือนมีนาคมนี้ โยมจะได้พระ 3 สมัย และจะเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก ถ้าพระที่ได้นั้นเป็นพระสมเด็จทั้ง 3 องค์"

วันที่ผมไปพบท่านเป็นเดือนกุมภาพันธ์ สัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม ลูกน้องที่เคยทำงานทีสาขาสวนพลูด้วยกันมาพบ ชื่อ สุรพล ตรรกวิรุฬห์ นำพระใส่ตลับทองคำมายื่นให้ 1องค์พร้อมบอกว่า "ผมให้ผู้จัดการครับ"  "ให้ทำไม"  "ผู้จัดการเคยสอนผมว่า ให้คนดีกว่าไม่ให้นี่ครับ" เป็นพระสมเด็จปิลันทน์ วัดระฆัง พิมพ์เปลวเพลิงเล็ก ผมเอาไปประกวดได้ที่หนึ่ง



สมเด็จปิลันท์ วัดระฆัง พิมพ์เปลวเพลิงเล็ก


สัปดาห์ต่อมา สุรพลหรือโป้พาผมไปวัดสัมพันธวงศ์หรือวัดเกาะ มีพระรูปหนึ่งมาทำพิธีสวดมนต์ให้ จากนั้นท่านก็นำพระที่อยู่ในพานส่งมอบให้พร้อมพูดว่า "ทราบว่าเป็นผู้จัดการเลยขอมอบพระให้ 1องค์ เป็นพระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ ผมเอาไปประกวดได้ที่หนึ่ง


พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆังฯ พิมพ์ปรกโพธิ์


สัปดาห์ต่อมา มีพนักงานธนาคารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม พร้อมพูดว่า "ผมชอบหัวหน้าจังเลย หัวหน้าไม่ถือตัว ผมขอมอบพระให้หัวหน้าองค์หนึ่ง เก็บไว้ให้ดีนะครับ เป็นพระพิมพ์สมเด็จของหลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว แต่ออกวัดบางด้วน พ่อผมรับมากับมือ พ่อเล่าว่าตอนหลวงปู่เผือกปลุกเสกบาตรสั่นสเทือนเลย"
 คนมอบให้ทราบชื่อนามสกุลภายหลัง เพราะเป็นเจ้าหน้าที่อำนวยสินเชื่อย้ายมาจากสาขาตรอกจันทร์ ชื่ออุดมศักดฺิ์  สวาคฆพรรณ


พระสมเด็จหลวงปู่เผือก ออกวัดบางด้วน

สรุปภายในเดือนมีนาคม 2547 ผมได้พระเครื่องมาถึง 3 องค์ เป็นพระสมเด็จทั้ง 3 องค์ และเป็นพระสามสมัยจริงๆ ตามที่่ท่านพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาได้ทำนายเอาไว้ ผมจึงเดินทางไปกราบและเล่าเรืองราวพร้อมนำพระไปให้ท่านดูด้วย ท่านแสดงความยินดีด้วยพร้อมพูดขึ้นว่า "วันที่ 23 ธันวาคม ปีนี้ โยมจะได้พระสุดยอดหายากอีกองค์หนึ่ง"

เดือนพฤษภาคม 2547 ผมได้ลาออกจากธนาคารกรุงเทพจำกัด ในตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการสาขานครหลวง ด้านการตลาด เพื่อไปทำหน้าที่ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วันหนึ่งนายศุภกร เกิดแสง เดินเข้ามาในห้องพร้อมยื่นพระให้ผมหนึ่งองค์พร้อมเอ่ยปากว่า "ให้พี่ครับ" ผมหยิบพระขึ้นมาแล้วพูดว่า "ผมจะไปฟ้องพ่อคุณ คุณเอาพระของพ่อคุณ มาให้ผมเหรอ รู้ไหมค่าทองที่เลี่ยมนี่เป็นเงินเท่าไหร่ ยังพระหลวงปู่ทวดนี่อีก"  ศุภกรบอกว่า "ไม่ใช่พระของพ่อผมหรอกครับ เป็นพระของผมเอง ผมชอบเล่นพระเครื่องครับ ผมขอมอบให้พี่ เพราะพี่ทำให้ผมได้เป็นผู้จัดการ ครับ" ศุภกรเป็นบุตรชายของผู้จัดการภาคกลาง พี่สนั่น เกิดแสง ธนาคารกรุงเทพจำกัด พระที่มอบให้ผมคือ พระหลวงปู่ทวด รุ่นบัวรอบ ก้นลายเซ้นต์ วัดช้างให้ ที่สำคัญมากไปกว่านั้น วันที่ผมได้รับ คือวันที 23 ธันวาคม 2547 ตามที่พระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาได้ทำนายเอาไว้ ผมมานึกได้เพราะมาเห็นในบันทึกที่จดไว้ ผมจึงไปกราบและเล่าให้พระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาฟังอีก ท่านบอกว่า "ต่อไปโยมจะได้พระที่เป็นมรดกตกทอดกันมา"


พระหลวงปู่ทวด  บัวรอบ ก้นลายเซ็นต์


 *** ตามล่าหาความจริงในปีพ.ศ.2548


จากการที่ผมเข้าสู่วงการพระเครื่อง ทำให้เริ่มเรียนรู้ว่า ในวงการเขาสะสมพระเครื่องโดยแบ่งเป็นประเภทต่างๆคือ 1 เบญจภาคี 2 กริ่ง 3 ดิน 4 ชิน 5 ผง 6 เหรียญ 7 ว่าน 8 ปิดตา 9 รูปเหมือน ช่วงนั้นสนใจพระกริ่งของหลวงพ่อโอภาสี มีคนชื่อมดแนะนำให้ไปเช่ากับพระครูฯ วัดฯ เมื่อไปถึงได้สนทนากันเป็นที่ถูกชะตา เพราะอาจารย์ของท่านกับอาจารย์ของผม องค์เดียวกัน คือพระอาจารย์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาละวัน นครราชสีมา พระครูฯเล่าให้ฟังว่า "อาตมาเป็นคนพิษณุโลก บวชตั้งแต่เป็นเณร สมเด็จพระสังฆราช  เป็นอุปัชฌาจารย์ และก็เป็นพระลูกศิษย์คอยอุปัฏฐากรับใช้สมเด็จพระสังฆราชโดยใกล้ชิดตลอดมา"  "อยู่มาวันหนึ่งท่านมีความอยากได้พระสมเด็จฯ จึงไปกราบเรียนสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จฯบอกว่า "ถ้าอยากได้ ให้นั่งสมาธิและท่านจะช่วยเรียกให้" หลังจากนั้นไม่นานท่านก็ได้พบกับคนในตระกูลฯ ซึ่งมีความผูกพันธ์กับสมเด็จพระสังฆราชมาตั้งแต่สมัยคุณแม่ ได้นำพระสมเด็จมาให้ท่านเป็นจำนวนมาก บอกว่าเป็นพระมรดกของตระกูลฯ จากนั้นพระครูฯก็นำพระสมเด็จมาให้ผมชม ผมก็นำพระสมเด็จปรกโพธิ์ของผมให้ท่านชมเหมือนกัน พร้อมเล่าถึงเรื่องราวของการได้มาและที่ให้เซียนพิจารณาแล้วบอกว่าใช่บ้างไม่ใช่บ้าง หลังจากนั้นผมก็ได้กลับไปหาท่านอีกครั้ง ท่านก็นำพระสมเด็จมาให้ชมอีก แต่ครั้งนี้ผมไม่มีเวลาเพียงผ่านมาก็แวะพบเท่านั้น จึงบอกท่านว่าวันหลังจะมาดู วันนี้ไม่มีเวลา ท่านก็นำพระทั้งกล่องประมาณ8-9องค์ยื่นให้ผม บอกเอาไปดูที่บ้านแล้วกัน 

ผมนำกลับมาบ้านแล้วนั่งพิจารณา เป็นสมเด็จปรกโพธิ์ 4องค์ แต่คนละพิมพ์กับของผม เป็นสมเด็จเนื้อสีเหลือง 2 องค์ อีก 2 องค์เป็นสมเด็จพิมพ์ทรงดูโบราณน่าจะเป็นช่างชาวบ้านแกะแม่พิมพ์ ผมก็มาคิดว่าควรจะนำพระแบบนี้ไปให้เซียนคนไหนดู ก็นึกถึงผู้ชำนาญการ ผู้อำนวยการสถาบันโบราณศิลป์-ท่านผอ.อรรถภูมิ บุณยเกียรติ เจ้าของนิตยสารพระเครือง ที่น่าจะมีมุมมองการพิจารณาที่แตกต่างก้าวหน้ากว่าเซียนคนอื่นๆในวงการ จึงไปหาและให้ดู ผอ.ฯดูแล้วบอกว่า "ชอบองค์เนื้อสีเหลืองมากๆ น่าจะมีคุณค่ามากๆ น่าใช้น่าแขวน"สำหรับปรกโพธิ์ 4 องค์นั้น บอกน่าสนใจอยู่องค์เดียว ทั้งที่พิมพ์เดียวกันบล๊อคเดียวกัน โดยไม่ได้ให้เหตุผลอธิบายอะไรเพิ่มเติม ผมก็นำพระชุดเหล่านั้นกลับไปคืนพระครูฯและเล่าให้ฟังว่า "เซียนเขาบอกว่าแท้นะองค์นั้นองค์นี้" พระครูบอกผมว่า "โยมรู้ไหม โยมเป็นคนแรกที่ดูพระของอาตมาแล้วไม่แสดงอาการใดๆ คนอื่นบางคนดูแล้วมือสั่นอยากได้ ของโยมเอาไปดูแล้วยังกลับมาคืนให้ พร้อมบอกด้วยว่าแท้มีองค์ไหนบ้าง อย่างนั้นเอาไปดูอีก" พระครูขนพระสมเด็จให้ผมเป็นร้อยองค์ ผมตระเวณไปพบเซียนในวงการแทบจะทุกซุ้มในกทม. ปรากฎว่าถูกปฏิเสธทั้งหมดทุกองค์ว่า ไม่ใช่พระของสมเด็จโต แล้วที่ท่านพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาทำนายว่าจะได้รับพระมรดกตกทอดก็จริงแต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่าเป็นพระสมเด็จหรือไม่

****ตามล่าหาความจริงปี2549

 ผมยังไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมา ท่านทำนายอีกว่า "พระองค์ต่อไปที่โยมจะได้ จะมีคนนำมาให้ถึงที่ " ช่วงนั้นผมไปพูดคุยกับผอ.อรรถภูมิ  อยู่บ่อยครั้ง จนเมื่อมีการจัดบรรยายเกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆัง ผมก็ได้รับเชิญไปร่วมสัมมนาอยู่ด้วยเสมอ บางครั้งผมก็แสดงความคิดเห็นบ้าง มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นผู้บริหารระดับชั้น vice president ธนาคารนครหลวงไทย ชื่อ คุณทวีศักดฺ์ ได้โทรหาผมและนัดกินข้าวกลางวันที่โรงแรมฟลอริด้า สี่แยกพญาไท เพราะชอบใจในสิ่งที่ผมพูดในการสัมมนาฯ  วันที่เจอกัน คุณทวีศักดิ์นำพระสมเด็จของหลวงตาจันทร์ วัดโฉลกหล่ำ เกาะพงัน สุราษฎร์ธาน๊มามอบให้ผม 1 องค์และอีกองค์เป็นสมเด็จวัดโพธิ์เกรียบ อยุธยา ผมได้โทรไปหาเจ้าอาวาส วัดโฉลกหล่ำ จากการสนทนาทราบว่าท่านเป็นหลานหลวงตาจัทร์ ซึ่งมรณภาพไปหลายปีแล้ว ท่านเล่าให้ฟังว่า "สมัยหนุ่มๆ ท่านมาบวชกับหลวงตาจันทร์ ท่านชอบอ่านหนังสือ แต่ไม่ชอบปฏิบัติสมาธิ ถูกหลวงตาฯเอ็ดอยู่บ่อยๆ ว่าอ่านเข้าไปเหอะ เดี๋ยวคงเหาะได้ ให้ทำสมาธิก็ไม่ทำ ท่านยังเล่าอีกว่า หลวงตาจันทร์จะเขียนและลบผง โดยแขวนผ้าจีวรไว้ใต้ฝ้าติดกับหลังคา เมื่อลบผงแล้วจะไปปรากฏอยู่บนจีวร ผมแกล้งถามท่านว่า ทำไมต้องเอาไปเทบนจีวรละ่ครับ ท่านบอกไม่ได้เอาไปเท พอลบแล้วผงไปอยู่บนจีวรทันที นอกจากนี้มีขวดโหลไว้สำหรับใส่เปลือกกล้วยหอมที่หลวงตาฯฉันแล้วเก็บไว้เพื่อผสมทำพระเครื่องอีกด้วย


พระสมเด็จ หลวงตาจันทร์ วัดโฉลกหล่ำ


หลังจากกินข้าวกลางวันกับคุณทวีศักดิ์ ก็กลับเข้าธนาคาร มีน้องชายของลูกค้าชื่อเบิร์ด มานั่งรออยู่ โดยที่เมื่อ 3 วันก่อน พี่สาวเบิร์ดชื่อ อ้อยได้มาติดต่อเพื่อขอกู้เงินวงเงิน 40 ล้านบาท ผมฟังเรื่องราวจบ ก็บอกว่าจะช่วย แต่ให้เบิร์ดรับปากผมหนึ่งเรื่อง คือให้นั่งสมาธิวันละครึ่งชั่วโมง เบิร์ดได้ยินแล้วร้องเสียงหลงว่า ทำไม่ได้หรอก ผมบอกถ้าอย่างนั้นก็ไม่ช่วย เบิร์ดก็เลยรับปากผม ซึ่งปกติผมก็ไม่เคยพูดกับใครแบบนี้ แต่เห็นโหงวเฮ้งของเบิร์ดแล้ว รู้สึกในใจว่ามีแววพุทธะอยู่บนใบหน้าของเขา จึงได้พูดออกไปในวันนั้น เบิร์ดได้เริ่มการสนทนาว่า  "เห็นในห้องของคุณอา แขวนภาพสมเด็จโต แสดงว่าคุณอาเคารพสมเด็จโต ผมอยากจะบอกว่า ผมสวดชินบัญชรได้ตั้งแต่จำความได้ เพราะคุณแม่ผมสวดมนต์วันละ 5ครั้ง คุณแม่ผมเป็นคนสุพรรณสวยมาก เลยถูกพ่อผมเป็นพ่อค้าน้ำตาลหรือหยง อยู่เยาวราชฉุดมา คุณแม่อ่านหนังสือไม่ออก แต่อธิษฐานขอให้สวดมนต์ได้ บางครั้งแม่สวดอยู่เสียงแม่จะเปลี่ยนไป ผมถามแม่ๆบอกว่าเป็นเสียงของปู่โต พ่อผมไม่สบายเดินไม่ได้ มีคนถามว่าทำไมไม่ให้เมียรักษา เมียยังรักษาคนอื่นหายเลย พ่อบอกว่า เรื่องอะไร ต้องไปก้มกราบเมีย ต่อมา ตาของพ่อเริ่มมองไม่เห้น พ่อเลยยอมก้มกราบแม่ ตอนนี้พ่อหายดีแล้ว พ่อมีประวัติการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลพญาไท แต่แม่ผมตายแล้ว ก่อนตายแม่ยังรู้วันตายล่วงหน้าด้วย" เมื่อได้ฟังดังนั้นผมจึงถามไปว่า มีการอัดเสียงสวดชินบัญชร ตอนสมเด็จโตมาหรือไม่ เบิร์ดบอกว่ามีและโทรพูดคุยกับพี่สาว-พี่อ้อย ได้ยินเสียงลอดออกมาจากโทรว่า "แกไปเล่าให้อาอมรเขาฟังทำไม เดี๋ยวเขาก็หาว่าบ้านเราบ้านะสิ" ผมจึงบอกว่าให้อัดเสียงมาให้ผมฟังด้วย

จากนั้นเบิร์ดก็พูดต่อว่า "พอผมเริ่มหนุ่ม ก็อยากได้พระสมเด็จ เวลาแม่สวดมนต์อยู่แล้วเสียงแม่เปลี่ยนไป ผมจะรีบวิ่งไปคุยกับปู่โต ปู่โตบอกให้สวดมนต์ชินบัญชรแล้วจะได้เอง ผมก็สวดมาเรื่อยๆ อยู่มาวันหนึ่งผมได้พบกับอาของผมชื่อ อาศิวะๆ เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งผ่านไปวัดกุฎีทองอยุธยา เห็นว่าวัดไม่มีกำแพงรั้ว จึงได้เข้าไปกราบเจ้าอาวาส และแสดงความตั้งใจที่จะทำบุญโดยสร้างกำแพงรั้วถวายวัด เจ้าอาวาสก็จะนำชื่อของอาศิวะ ขึ้นบนกำแพงรั้ว อาศิวะบอก ทำบุญเพื่อหวังเอาบุญ ไม่หวังเอาชื่อ เจ้าอาวาสก็เลยให้ดินมาก้อนหนึ่งและบอกว่า มีพระสมเด็จอยู่ในดินก้อนนั้น อาศิวะเมื่อสวดมนต์และนั่งสมาธิที่บ้านแล้ว ก็เอาไม้ค่อยๆเขี่ยดินออกทีละน้อย จนพบพระสมเด็จในดินก้อนนั้นรวม๘องค์ และอาศิวะก็มอบให้ผมมา วันนั้นผมอาบน้ำอยู่ ได้ยินแม่ผมสวดมนต์แล้วเสียงแม่เปลี่ยนไป ผมรีบวิ่งออกมาและนำพระสมเด็จที่ได้รับจากอาศิวะให้ปู่โตดู ดูท่านดีใจมากและพูดว่า ทำกับมือๆ แต่ทำไมผมไปให้เซียนพระดู เขาบอกว่าไม่ใช่ละ่ครับ"

จากนั้นเบิร์ดก็ส่งพระสมเด็จวัดกูฎีทองพร้อมพูดว่า "ผมให้อาครับ" ผมบอกว่า " เฮ้ย อารับไว้ไม่ได้หรอก พระแบบนี้เป็นพระของเบิร์ด เบิร์ดต้องเก็บเอาไว้บูชา" "อาครับ ที่เบิร์ดให้อา เพราะวันที่พบกับอา แล้วเบิร์ดกลับไปนั่งสมาธิ เบิร์ดได้เห็นพระพุทธเจ้า จึงคิดว่าอาเหมาะที่ได้พระองค์นี้ครับ นอกจากนี้เบิร์ดยังหนุ่ม ไม่ค่อยกล้าแขวนพระ ใช้แต่เครื่องรางครับ" จากนั้นก็นำเครื่องรางออกมาให้ชม


พระสมเด็จฯ วัดกุฎีทอง





ผมรับพระสมเด็จวัดกุฎีทองไว้ แล้วนึกย้อนหลังไปก่อนปีพ.ศ.2529 ผมนั่งคุยกับพี่ธวัชชัย หัวหน้าส่วนโอนเงิน ที่สำนักงานใหญ่สีลม ชั้น8 ที่ห้องอาหารของธนาคารตอนเช้า พี่ธว้ชชัยชอบเล่นพระเครื่อง ผมบอกว่า อยากได้พระสีวลีสักองค์ พี่ถามว่า ทำไมถึงอยากได้ ผมบอกว่า ก็ผมอยากรวยนะ่สิ วันรุ่งขึ้นพี่ฯก็นำพระสิวลีมาให้ผม พร้อมบอกว่า เก็บรักษาให้ดีนะ เพราะเป็นพระที่สมเด็จโตสร้างไว้ที่วัดกุฎีทอง พวกการบินไทยไปทำบุญที่วัดนี้จึงได้มา ผมก็นำไปทำตลับใส่ขึ้นคอ ต่อมาประมาณปีพ.ศ.2540 น้องสาวผมชื่อป้อมบอกว่าอยากได้พระสีวลี ผมนึกถึงพี่ธวัชชัยจึงไปหาและเอ่ยปากขอพระสีวลีจากพี่ จากนั้นพี่ฯก็นำพระสีวลีมาให้ผมพร้อมพูดว่า "องค์แรก อมรให้น้องสาวไป เอาองค์นี้ไว้ใช้แทน เพราะองค์นี้พี่ได้มาจากเพื่อนเป็นข้าราชการอยู่กรมศิลปากร ตอนวัดกุฎีทองกรุแตก มันได้ไปตรวจและได้มา"

เมื่อผมได้พระสีวลีวัดกุฎีทองมาแล้ว 2องค์ จึงคิดที่จะไปเที่ยวที่วัดกูฎีทอง จึงได้เดินทางไป เมื่อไปถึงหน้าวัด จะมีคลองขวางกั้นอยู่และมีสะพานเดินข้ามจากฝั่งนี้ไปยังวัด ผมแวะกินน้ำที่มีรถเข็นมาจอดขาย ได้พูดคุยกับแม่ค้าถึงเรื่องกรุวัดกุฎีทองแตก แม่ค้าพูดว่า ถ้าอยากรู้เรื่องจะไปตามพี่ชายมาคุยด้วย ยังไม่ทันห้ามแม่ค้าก็วิ่งออกไปแล้ว สักครู่พี่ชายก็เข้ามาคุยด้วย ผมก็ส่งพระสีวลีให้ดูทั้ง 2องค์ พี่ชายก็เริ่มเล่าว่า "พระสีวลีองค์แรก เป็นพระที่พวกผมหรือชาวบ้านแถวนี้รอบวัดทำปลอมขึ้นมาเอง ส่วนพระสีวลีองค์ที่ 2 เนื้อนี้ไม่ใช่ที่ทำปลอม ไม่เคยเห็น" พี่ชายบอกให้รอเดี๋ยวพร้อมเดินข้ามฝั่งไปแล้วกลับมาเล่าว่า "สมัยนั้น คนกรุงเทพแห่กันมาที่วัดกุฎีทองมากมาย เพื่อมาหาเช่าพระ ที่มีข่าวว่ากรุแตก ชาวบ้านรอบวัดเลยทำปลอมเพื่อปล่อยให้เช่า" พร้อมยื่นพระหลวงพ่อโตให้ผมหนึ่งองค์และบอกว่า "นี่ก็ปลอม สมัยก่อนเช่าหากันองค์ละ 3,000 บาท แต่ให้คุณฟรี" พร้อมพูดย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าที่ให้ของปลอมนะ มีผู้ชายอีกคนหนึ่งโผล่เข้ามาสนทนาด้วย พร้อมพูดทำนองสั่งสอนว่าพระเครื่องไม่น่าสนใจเท่ากับพระธรรม หลังจากนั้นพาผมข้ามสะพานไปฝั่งวัด  บ้านของเขาอยู่ทางด้านซ้ายของสะพานเอาแผ่นซีดีพระไตรปฺิฎกให้ผมหนึ่งแผ่น มีคุณยายท่านหนึ่งนอนอยู่ด้วยความชราภาพ แต่ยังพูดคุยเกี่ยวกัธรรมได้เป็นอย่างดี ผมจากวัดกุฎีทองมาด้วยความรู้สึกงงๆ แล้วเล่าให้พี่ธวัชชัยที่ให้พระสีวลีมาได้ฟัง พี่ก็บอกว่าองค์ที่สองที่ให้มา ได้เป็นองค์แรกจากเพื่อนที่เป็นข้าราชการกรมศิลปากร องค์แรกที่ให้ ได้มาจากพวกการบินไทยที่เล่นพระเครื่องไปพบกรุแตกที่วัดฯ

ผมได้ไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาพร้อมนำพระที่ได้มาตามคำทำนายของท่านคือ พระสมเด็จหลวงตาจันทร์ วัดโฉลกหล่ำ พระสมเด็จ วัดโพธิ์เกียบและพระสมเด็จ วัดกุฎีทอง ที่มีคนเอามาให้ถึงที่ทำงาน ตามที่ท่านทำนายไว้ หลังจากท่านชมแล้ว ท่านกล่าวขึ้นว่า "ภายในเดือนกันยายนนี้ โยมอมรจะได้พระอีก 2องค์ องค์แรกจะเป็นพระทรงสี่เหลี่ยมนาคปรก ทำจากวัสดุที่เก่าแก่มากๆ องค์ที่สองจะเป็นพระยืน" เหลือเชื่อจริงๆ เดือนกันยายน เบิร์ดได้มาหาพร้อมยื่นพระให้ 1องค์บอกว่า" พระองค์นี้ได้มาจากเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตร เจ้าคุณทราบว่า ที่เขาสามร้อยยอดมีหินสะท้านฟ้าพันปี จึงให้ทหารไปนำมาและให้แกะเป็นพระรูปนาคปรก ตอนนำมายังมีบุคคลระดับสูงของประเทศไปกราบที่วัดเลย ผมให้อาครับ" จากนั้นประมาณ 7วัน ลูกน้องชื่อชวลิต นำพระมามอบให้หนึ่งองค์ โดยพูดว่า "ผมกลับไปบ้านของผม เลยไปเช่าพระหลวงพ่อวัดบ้านแหลมมาให้หัวหน้าองค์หนึ่งครับ "เป็นพระปางยืนอุ้มบาตร สรุปแล้วพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาทำนายถูกอีกแล้ว


พระพิมพ์นาคปรก หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด



พระหลวงพ่อวัดบ้านแหลม ปางยืนอุ้มบาตร




ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2549 ผมได้รับเชิญจากสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ให้ไปบรรยายต่อเซียนพระทั่วประเทศ ประกอบด้วย กลุ่มชมรมพระเครื่องมรดกไทย 18คน กลุ่มท่าพระจันทร์ 14คน กลุ่มชมรมพระเครื่องมณเฑียร 6คน กลุ่มภาคกลางเขต1 2คน กลุ่มภาคกลางเขต2 3คน กลุ่มภาคกลางเขต6 2คน กลุ่มภาคใต้เขต1 14คน กลุ่มภาคใต้เขต2 13คน กลุ่มภาคใต้เขต3 2คน กลุ่มภาคตะวันออกเขต1 3คน กลุ่มภาคตะวันออกเขต2 5คน กลุ่มภาคตะวันออกเขต4 5คน กลุ่มภาคเหนือเขต1 7คน กลุ่มภาคเหนือเขต2 10คนกลุ่มภาคเหนือเขต3 11คน กลุ่มภาคอีสานเขต1 9คน กลุ่มภาคอีสานเขต2 11คน กลุ่มภาคอีสานเขต3 5คน กลุ่มภาคอีสานเขต4 12คน กลุ่มอีสานเขต5 11คน รวมทั้งสิ้น 163คน ณ โรงแรมริชมอนด์


 ในหัวข้อ วงการพระกับอาจารย์ที่ปรึกษา เวลา10.30น-12.00น.ในหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง การจัดการศึกษาทางไกล หลักสูตรการศึกษาพระเครื่องขั้นพื้นฐาน โดยความร่วมมือระหว่าง สมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทยและสถาบันการศึกษาทางไกล สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามแต่งตั้งให้เซียนทั่วประเทศที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของหลักสูตร ในฐานะของผู้รู้หรือผู้เชียวชาญในด้านพระเครื่อง  เพื่อให้เซียนหรือผู้รู้ ที่ได้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาได้รู้จัก สถาบันการศึกษาทางไกล มีความเข้าใจเกี่ยวกับ หลักการจัดการศึกษาทางไกล หลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผลโดยสรูป รวมทั้งบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษา สามารถปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ในการเชิญผมไปบรรยาย เพื่อให้เซียนหรือผู้รู้หรือผู้ชำนาญการ ได้รู้ถึงบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษา สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังการบรรยายจบลง ต้อย เมืองนนท์ ได้เข้ามาพูดคุยกับผมว่า "พี่มอนบรรยายได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ปกติพวกผมนั่งฟังคนบรรยายไม่เกิน 15นาที ก็ลุกขึ้นไม่ฟังกันแล้ว เพราะแต่ละคนความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก นี่นั่งฟังพี่พูดเกือบสองชั่วโมง โดยไม่ลุกไปไหนเลย ถือว่าพี่แน่มาก สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการของพวกผม"

ต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2549 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมเดอะริช เชิงสะพานพระราม 5 ผมได้รับเชิญจากผู้อำนวยการสถาบันโบราณศิลป์ และนิตยสารเปิดราคา (อรรถภูมิ บุณยเกียรติ) ไปบรรยายหัวข้อ "ส่องพระหาอะไร" ในงาน THANK YOU PARTY เนื้อหาการบรรยาย มีดังนี้

ผมได้ยินแม่ของผม พูดกับพ่อว่า ไม่รู้ว่าส่องพระหาหอกอะไร ส่องได้ทั้งวัน จนต่อมาถึงได้รู้ว่า ส่องหาความงามของพุทธศิลป์ เขาเรียกกันว่า "งามนอก" ต่อมาส่องเพื่อหา "งามใน" คือ พุทธคุณ ที่เขาห้อยพระกันหลายองค์ เพราะองค์ที่หนึ่ง มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม แต่ที่ห้อยองค์ที่สอง เพราะเผื่อเขาไม่เมตตา ต้องห้อยมหาอุด เผื่อเขามายิงจะได้ไม่ออก องค์ที่ 3 แคล้วคลาด เผื่ออุดไม่อยู่ ยิงออกแต่ไม่ถูก องค์ที่ 4 คงกระพัน ถึงยิงถูกแต่ไม่เข้า องค์ที่ 5 ชาตรี นอกจากไม่เข้าแล้วยังไม่เจ็บอีกด้วย ต่อไป "งามพระรอม" หรือ งอมพระราม คือชักหน้าไม่ถึงหลัง รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ลูกมาขอเงินค่าเล่าเรียน มีเงินไม่พอ ต้องนิมนต์หลวงพ่อไปอยู่กับคนอื่น พอเอาหลวงพ่อไปปล่อยออก ปรากฎ "งามหน้า" เขาไม่รับซื้อบอกว่า "ปลอมครับ" นี่คือการส่องพระ เราต้องศึกษาถึงพระสงฆ์องค์ที่ปลุกเสกว่ามีจรืยาวัตรข้อปฏิบัติอย่างไร ศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนหรือไม่อย่างไร ถ้าปฏิบัติตามพระธรรม ก็ต้องดูว่าเป็นพระธรรมคำสั่งสอนของใคร ถ้าของพระพุทธเจ้า ก็ถือว่า เราส่องพระถึง พระรัตนตรัย

เมื่อผมบรรยายจบลง ได้รับรางวัลการบรรยายจากผู้อำนวยการ-อรรถภูมิ บุณยเกียรติ เป็นกล้องส่องพระเลี่ยมทองคำ จารึกคำว่า สถาบันโบราณศิลป์ นอกจากนีัผู้อำนวยการโรงเรียนสอนคนตาบอด ซึ่งมาร่วมงานในฐานะแขกรับเชิญ เพื่อมารับเงินบริจาค ได้ลุกเดินเข้ามาหาผม มอบใบโพธิ์ที่ท่านได้เดินทางไปและได้มาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย อีกทั้งรูปเหมือนหลวงปู่บุญยฤทธิ์ให้ผมและกล่าวว่า "ไม่คาดคิดเลยว่าคนในวงการพระเครื่อง จะพูดได้มีสาระถึงเพียงนี้"




*****ตามล่าหาความจริงปีพ.ศ.2550


ผมได้ไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมา คณะ2 วัดปรินายก เหมือนเดิม ครั้งนี้ท่านถามผมว่า "พระร่วง มีหรือยัง องค์ต่อไปที่จะได้คือพระร่วง" ผมดีใจมากเพราะกำลังแสวงหาอยากได้อยู่พอดี คิดว่าจะได้จากไหนนะ

จากนั้นได้รับหนังสือลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2550 จากผู้อำนวยการสถานศึกษาสถาบันการศึกษาทางไกล (นายบุญส่ง คูวรากุล) เรื่อง ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาเสริมประสบการณ์การเรียนรู้หลักสูตรการศึกษาพระเครื่องขั้นพื้นฐาน ในวันเสาร์ 17-อาทิตย์ 18 มีนาคม 2550 ณ ห้องปิ่นเกล้า 2 โรงแรมรอยัลซิตี้ ถ.บรมราชชนนี กทม. ผมได้ขึ้นบรรยายกับเซียนรัก ศรีเกตุ พอการบรรยายจบลง ต้อย เมืองนนท์พูดกับผมว่า "ฟังพี่พูดแล้วชอบใจจังเลย พี่กรุณาไปหาผมที่บางลำพูงามวงศ์วานหน่อยนะครับ ผมมีของจะมอบให้พี่" เมื่อผมไปหา ต้อยเมืองนนท์ มอบพระเลี่ยมทองให้ผมหนึ่งองค์พร้อมพูดว่า "นี่คือพระร่วง กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ลพบุรี เนื้อสัมฤทธิ์สนิมเขียว หายากมากครับ" 


พระร่วง กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ลพบุรี สนิมเขียว




ปีพ.ศ.2550 มีลูกค้าชื่อไก่มาพบและพูดว่า "พี่หน้าตาเหมือนแม่ชีองค์หนึ่งอยู่ที่สะเมิง เชียงใหม่ อยากให้พี่ได้พบและสนทนาด้วย" เลยได้เดินทางไปพบและได้สนทนากัน แม่ชีได้ดูพระสมเด็จวัดกุฎีทองแล้วพูดว่า "องค์นี้สมเด็จโต ท่านทำกับมือของท่านเอง เก็บไว้ให้ดี" ฟังแล้วรู้สึกภูมิใจที่เหมือนเบิร์ดเล่าว่าสมเด็จโตบอกว่า "ทำกับมือๆ" หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานตามปกติ วันหนึ่งมีผู้ชายมายืนหน้าห้องแล้วถามว่าจำเขาได้ไหม บอกนึกไม่ออก เขาจึงรื้อฟื้นความหลังว่า "เรียนอยู่อำนวยศิลป์และไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนอัคนีบัณฑิต บางกระบือด้วยกัน ตอนอยู่ชั้นมศ.3" เลยนึกออกเขาชื่อ นพพร ปิ่นมณี ชื่อเล่นชื่อน้อย เขาบอกมาหาเพราะเขารู้ว่ามีพระสมเด็จวัดกุฎีทอง เลยจะมาเล่าความจริงเกี่ยวกับกรุวัดกูฎีทองแตกให้ฟัง

 เขาเล่าว่า ประมาณปีพ.ศ.2516 ได้ไปเรียนวิชาดูโหงวเฮ้งจากอาจารย์จำเนียร บัวสุวรรณ อาชีพขายของอยู่ที่ตลาดวัดบัวขวัญ อยู่มาวันหนึ่งอ.จำเนียรหรือเตี่ยจำเนียรเล่าให้ฟังว่า "เมื่อคืนฝันเห็นสมเด็จโต มายืนอยู่ที่หัวและบอกให้ไปวัดกุฎีทองอยุธยา มีกรุพระอยู่ให้นำขึ้นมา แล้วนำไปปล่อยให้เช่าบูชา เพื่อนำเงินมาปฏิสังขรณ์วัด" เตี่ยจำเนียรและนพพรได้ไปตามหาวัดกุฎีทอง แต่ไม่มีคนรู้จัก จนกระทั่งการตามครั้งที่2 ได้พบสามล้อบอกทางให้ จึงได้พบวัดฯและได้พบพระศรีสรรเพชญ์ มีรอยดำทั้งองค์ สืบเนื่องจากพม่าเผาคราวเสียกรุงครั้งที่2 อุโบสถไม่มีแล้ว ได้พบหลวงตาหนมกับพระอีกองค์ตาบอดอยู่ที่วัดไม่ทราบเรื่องราวอะไร ขณะนั้นเป็นวัดร้าง ป่ารก ต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด ครั้งแรกเขาได้เจอแผ่นหินหลังพระประธาน รู้สึกว่าน่าจะเปิดเข้าไปได้แต่เกรงว่าคนจะรู้กันมาก จึงบอกกลางคืนค่อยกลับมาใหม่ คืนนั้นเกือบ5ทุ่ม ไปกัน6คนมีหลวงตาหนม มรรคทายกวัด-ทิดนง
เด็กวัดอีก2คน เตี่ยจำเนียรและนพพร ไปแงะแผ่นหิน มองเผินๆไม่รู้
 มาถึงก็งัดแผ่นหินออก มีกลิ่นอับโชยออกมา ต้องนั่งรอเป็นชั่วโมงจนกลิ่นหมด จึงเอาตะเกียงลงไปโรยตัวเข้าไป พบพระพุทธรูปย้อนยุค แผ่นไม้ชิงชันระบุว่าสมเด็จโตมาสร้างไว้ มีรูปเหมือนสมเด็จโตและดินเป็นก้อนๆมีพระสมเด็จอยู่ข้างในต้องเอาไปแช่น้ำถึงจะแกะพระสมเด็จออกมาได้ ยังเอาพระรูปเหมือนสมเด็จโต พระสมเด็จวัดกุฎีทองไปปล่อยให้เพื่อนอำนวยศิลป์เช่าและเอาพระสมเด็จวัดกูฎีทองไปให้พี่ชายเป็นนายทหาร-พันโทพัลลภ ปิ่นมณี (ยศในขณะนั้น)คุมกำลังรบที่เรียกกันว่ายุทธภูมิเขาค้อ ภูหินร่องกล้าแจกทหารที่ร่วมรบ น้อย-นพพรเล่าต่อว่า " ไปกับเตี่ยจำเนียรครั้งแรกประมาณ18.00น.ไม่มีใครรู้จัก ครั้งที่2ที่ไปยังนึกว่าเตี่ยฯโม้ คงเป็นเพราะบุญให้มาทำ เราเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ทำไมตัวละครตัวนี้ต้องไปโผล่ วันนั้นเงินเดือน 1,700บาท ทำงานช่อง5 เงินทองก็ไม่ค่อยพอใช้ แฟนเป็นพยาบาลอยู่เวรดึก กว่าจะออกเวร5-6ทุ่ม ต้องนั่งรอเลยไปเรียนดูโหงวเฮ้งกับเตี่ย ทำให้ได้พบเจอเรื่องราวตามที่เล่าให้ฟัง"  น้อย-นพพรเล่าต่อว่า "ในฐานะที่เป็นน้องชายพันโทพัลลภ ปิ่นมณี (ยศในขณะนั้น) จึงได้ชวนพล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัตและเดโช สวนานนท์ไปร่วมเปิดกรุ"  

ผมได้กลับไปวัดกุฎีทองอีกครั้ง ข้ามสะพานไปบ้านทางซ้ายมือเหมือนเดิม พบผู้ชายคนหนึ่งทราบชื่อว่า อาจารย์อนันต์ แสงสุวรรณ ครั้งแรกไม่ยอมพูดคุยด้วย พูดน้อยมาก มาเข้าจุดตอนพูดคุยเรื่องบอล ผมบอกว่าพ่อผมเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย ไปแข่งกีฬาโอลิมปิกครั้งที่16 ที่กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เป็นชุดแรกของประเทศไทย ยังมีภาพของผมตอนเด็กที่ถ่ายร่วมกับทีมตอนไปส่งที่สนามบินดอนเมือง สามารถดูได้ทางอินเทอร์เน็ต อาจารย์อนันต์ถามว่าเด็กที่ยืนอยู่ทางขวาของภาพนะ ผมบอกว่าใช่ อาจารย์อนันต์จำรูปนี้ติดตา เพราะอาจารย์ฯชอบฟุตบอลมากและเป็นโค้ชบอลโรงเรียนอยู่ จึงได้สนทนากัน

อาจารย์บอกแอบมองผมมานานแล้ว จำผมได้ว่ามาหลายครั้งแล้ว อาจารย์อนันต์ฟังผมเล่าเรื่องการพบกรุแตก ที่เพื่อนของผมในวัยเด็ก นพพร-น้อย ปิ่นมณี เล่าให้ฟังจนจบลง อาจารย์บอกว่า "เพื่อนคุณโกหกทั้งหมด" ทำเอาผมอึ้ง ทึ่ง เสร็จ เพราะอาจารย์เล่าว่า "ตอนนั้นประมาณปีพ.ศ.2516 ข้างหลังพระประธานเป็นป่า อาจารย์ถือเสียมไปเดินหามันมือเสือเพื่อไปขุดเอามากิน ไปยืนพักเหนื่อยอยู่หลังพระประธาน เอาด้ามเสียมไปกระทุ้งฐานใต้พระประธานเล่นๆ  ปรากฎปูนหลุดกระเทาะออกมา มุดเข้าไปดูใต้ฐานเป็นทราย เข้าไปยืนแบบที่เพื่อนคุณเล่าไม่ได้หรอก มองไม่เห็นอะไรเพราะมันมืด เลยไปบอกพระช่วย พระช่วยบอกให้เงียบไว้อย่าบอกให้ใครฟัง หลังจากนั้นพบพระพุทธรูป3องค์ เจอไหเก่าๆ เจอพระเก่ากอดกันกลมติดกับพื้นดิน ตอนนั้นหลวงตาหนมเจ้าอาวาส เพิ่งย้ายมาจากวัดธรรมิกราช ก็เอาพระที่เกาะกันกลมเอามาแช่น้ำในโอ่งมังกร มีพระอีกองค์ชื่อเชียร ตอนนั้นตายังไม่บอด" ต่อจากนั้นอาจารย์อนันต์พาผมไปดูพื้นโบสถ์เป็นท่อนไม้ซุงวางเป็นฐานซ้อนเรียงกันอยู่ใต้โบสถ์ ท่อนใหญ่โตมากแทนเสาเข็ม แล้วจะมุดเข้าไปได้อย่างไร โดยสามารถเปิดพื้นโบสถ์ออกดูได้ จนต่อมาประมาณปีพ.ศ.2519 มีชมรมสวดมนต์คาถาชินบัญชรศาลาแดงมาที่วัด มาทำการสวดมนต์กัน ต่อมาประมาณปีพ.ศ.2521 อาจารย์จำเนียร บัวสุวรรณ ซึ่งมีลูกสาวขายหมูอยู่ที่ตลาดฯ เข้ามาที่วัด นุ่งขาวห่มขาวมานั่งสมาธิทำพิธีต่างๆ ซึ่งอาจารย์อนันต์บอกว่า " ไม่ชอบการโกหกหลอกลวง ได้ไปต่อว่าหลวงตาหนม จนหลวงตาหนมไม่ให้ขึ้นวัด จริงคือจริง ไม่สนใจ ไม่กลัว เล็กใหญ่ไม่กลัว ดันไปหลอกลวงเขาได้อย่างไร" " พระพุทธรูป 3สมัยทำปลอม สั่งทำที่โรงหล่อ เอาพระสมเด็จอุดหลัง ร่วมมือกันทั้งหลวงตาหนม อาจารย์ มรรคทายก พวกการบินไทยหลงเชื่อมาทอดกฐินได้เงินเป็นล้าน ฝากลูกเข้าทำงาน ตอนหลังพวกการบินไทยรู้ความจริง พอเขาจับได้ เขาไม่มาเลย ไม่เคยมาเลย สาปแช่ง หลอกกันเป็นขบวนการ" "แต่กรรมก็ตามทันทุกคน หลวงตาหนม ต้องเจาะคอ ตาหนีท้องแตกตาย จำเนียรตายก่อน ตานงลูกๆก็ออกจากการบินไทยแล้ว"

ตอนที่อาจารย์อนันต์พบครั้งแรกนั้น เคยได้พบกับเจ้ากรมสรรพาวุธ ได้เอาพระสมเด็จไปให้ดู3องค์ ท่านเรียกนายทหารเข้ามาดู พอดูเสร็จนายทหารบอกท่านว่าเหมือนสมเด็จบางขุนพรหม เหมือนสมเด็จโตสร้างแล้วฝากกรุ เมื่อดูเสร็จแล้วท่านเจ้ากรมฯได้พาไปเลี้ยงข้าวในสโมสร แล้วถามว่า อนันต์มีอยู่กี่องค์ ตอบไปว่ามีอยู่22องค์  "เอาเท่าไหร่" "ไม่อยากตีราคา" "อยากให้ท่านช่วยปฏิสังขรณ์โบสถ์ เช่นใบระกา ซุ้มประตูหน้าบรรณให้ปิดทอง2ข้าง" ท่านเลยให้ช่างมาตีราคา ช่างบอก7แสน ต่อรองเหลือ5.5แสน แล้วก็จัดการทอดกฐิน แล้วอาจารย์อนันต์ก็มอบพระ22องค์ให้ท่านเจ้ากรมไป

อาจารย์อนันต์บอกว่า ที่บ้านไม่ค่อยคุยกับใคร แอบมองผมอยู่ เคยเห็นที่ไหนนะคนนี้ มีsenseอะไรสักอย่างจึงลงมาคุยด้วย ตระกูลของอาจารย์คุยกับคนยาก แล้วอาจารย์เล่าต่อว่า  "มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีคนบ้าไว้ผมยาว นุ่งห่มด้วยผ้าสีเหลืองมานอนตรงบริเวณศาลเจ้าทางเข้าบ้าน ไม่ค่อยกล้ามองหน้าใคร นั่งๆนอนๆอยู่แถวนั้น ด้วยความสงสารเลยเดินไปบอกว่า ไม่หิวข้าวเหรอ ถ้าหิวให้ไปหาที่บ้านได้นะ คนบ้าก็ไม่พูดด้วย จนวันที่สาม คนบ้ามาหาถึงบ้าน เลยเอาข้าวให้กินและจะกินน้ำในคลอง เลยเอาน้ำประปาให้กิน จากนั้นเป็นเดือน คนบ้าคนนั้นกลับมาหาพร้อมเปิดเผยตัว คือพตท.วิชิต วิเชียรฉาย ปลอมตัวมาสืบจับยาเสพติด

จากนันอาจารย์อนันต์เล่าต่อว่า "พระที่พบนั้นมีแค่พันถึงสองพันองค์เท่านั้น มีพระพิมพ์ศิลปขอม ที่เขาถือกันว่าน่าจะเป็นพิมพ์ที่หลวงปู่แสง อาจารย์ของสมเด็จโตสร้าง พระสมเด็จพิมพ์เส้นด้าย พระปางลีลา พระพิมพ์จันทร์ลอย พระสมเด็จคะแนนหลังเบี้ย พระสีวลี " จากนั้นผมได้ขออาจารย์อนันต์มาบูชา ซึ่งได้รับพระพิมพ์จันทร์ลอยมา 1องค์ พระสมเด็จคะแนนหลังเบี้ยมา 7องค์ พระปางลีลาไม่ได้มา เพราะอาจารย์บอกขอเก็บไว้บูชา

อ่านมาถึงตรงนี้ คิดอย่างไรครับ เรื่องราวในวงการพระเครื่อง มีจริงในปลอม มีปลอมในจริง


******ตามล่าหาความจริงในปีพ.ศ.2551


ผมก็ยังไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาเหมือนเดิม ครั้งนี้ท่านทำนายว่า " องค์ต่อไป จะเป็นพระเนื้อโลหะ แต่พุทธคุณไปทางเมตตาและโชคลาภ "ผมได้ไปพบผอ.อรรถภูมิ บุณยเกียรติ ผอ.เอาพระเหรียญเจ้าสัวให้ผมดู แล้วบอกเอากลับไปบ้านพิจารณาก็ได้ ผมส่องอยู่ที่บ้านคิดว่าราคาคงสูงแน่ ผอ.อรรถภูมิโทรเข้ามาหา ถามว่าสนใจไหม ถ้าสนใจให้โอนเงินมา 40,000บาท ก็ต้องโอนครับราคาเท่านี้ เพียงแต่นึกถึงพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมา นี่เป็นองค์แรกที่ท่านทำนายแล้วผมต้องใช้เงินเช่า

จากนั้นผมก็นำลูกน้องชื่อสุวิทย์ จุติประเสริฐไปพบท่าน สุวิทย์ก็ถามท่านว่า "พระองค์ต่อไป ที่หัวหน้าอมรจะได้อีก เป็นพิมพ์อะไร สีอะไร" ท่านตอบว่า "เป็นพิมพ์สมเด็จ สี่เหลี่ยม สีออกเหลืองๆ" ปรากฎว่าลูกค้ารายหนึ่งนำพระมามอบให้พร้อมบอกว่า เป็นพระของหลวงปู่หิน วัดระฆังสร้าง เนื้อสีเหลือง

ผมก็ยังได้รับหนังสือเชิญจากผู้อำนวยการสถานศึกษาสถาบันการศึกษาทางไกล-คุณบุญส่ง คูวรากุล เข้าร่วมกิจกรรมหลักสูตรการศึกษาพระเครื่องขั้นพื้นฐาน ในวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน-วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2551 ณ ห้องกรุงเทพบอลรูม ชั้น 2 โรงแรมรอยัลซิตี้ ืถนนบรมราชชนนี กทม

ในปีนี้ผมได้ลาพักร้อนเพื่อไปตามล่าหาความจริง โดยเริ่มจากกำแพงเพชร ไปวัดเสด็จ หาดที่เผาท่านผู้หญิงแพง-ป้าของสมเด็จโต วัดพระบรมธาตุที่สมเด็จโตอ่านจากศิลาจารึก มาจังหวัดพิจิตรเพื่อหาร่องรอยของท่านอาจารย์ของสมเด็จโต จังหวัดชัยนาทเพื่อตามหาร่องรอยของพระอาจารย์แก้วและสมเด็จพระวันรัต วัดโพธิ์ จนมาถึงลพบุรีเพื่อตามหาร่องรอยของพระอาจารย์หลวงปู่แสง

ไปกราบพระอาจารย์หลวงปู่แสงที่วิหารที่สร้างขึ้นใกล้เคียงกับเจดีย์หลวงพ่อแสง ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองทรงชลูด โดยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้เขียนถึงเจดีย์หลวงพ่อแสงว่า ผู้สร้าง คือพระอาจารย์แสง ที่ท้องทุ่งพรหมาศอยู่ใกล้เมือง มีพระเจดีย์สูงที่วัดมณีชลขันธ์องค์ ๑ แลเห็นได้แต่ไกล ชวนให้สำคัญว่าเป็นของสร้างไว้แต่โบราณ แต่แท้จริงเป็นของพระภิกษุองค์หนึ่งชื่อพระอาจารย์แสง เป็นผู้คิดแบบสร้างขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๔ ซึ่งเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองทรงชลูด กำลังเอนไปทางทิศใต้ จนมีผู้ให้สมญานามว่า หอเอนเมืองลพบุรี เล่ากันว่า หลวงพ่อแสงผู้สร้างวัดนี้ สร้างเจดีย์ความสูง ๕-๖ชั้น โดยไม่ใช้นั่งร้าน สร้างเสร็จแล้วก็กระโดดลงมาแล้วหายตัวไป 

เมื่อคราวฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ปี จังหวัดลพบุรีและผู้รักในศิลปะโบราณสถาน ได้ช่วยกันบูรณะบริเวณรอบพระเจดีย์ ให้เป็นสวนสาธารณะ ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ทำให้บริเวณนั้นร่มรื่น น่าดูยิ่งขึ้น ต่อมามีการสร้างวิหาร เพื่อประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อแสงและสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี โดยร่วมใจกันบูรณะเจดีย์ครั้งใหญ่ เนื่องในวโรกาสที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เจริญพระชนมายุครบ ๔๘ พรรษา ในพ.ศ.๒๕๔๖ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลอีกด้วย

ผมได้ไปเดินเล่นในบริเวณสวนนั้นและได้พูดคุยกับอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งพาลูกเสือและอนุกาชาดมาเรียนนอกสถานที่ ท่านเล่าว่าเมื่อหลายปีก่อนมีคนร้ายได้ปีนขึ้นไปบนเจดีย์และเจาะเจดีย์ทิ้งร่องรอยไว้เป็นโพรงใหญ่ เมื่อขึ้นไปดูและนำลงมา ปรากฏเป็นผงวิเศษที่เล่าลือกันมานานว่าพระอาจารย์หลวงปู่แสงสอนสมเด็จโต กรรมการวัดจึงนำผงนั้นมาสร้างเป็นพระผงพิมพ์สี่เหลี่ยมด้านหน้าเป็นรูปหลวงปู่แสง ด้านหลังเป็นรูปเจดีย์ของท่าน อาจารย์เล่าต่อว่า น้าของท่านเคยให้ท่านไว้หนึ่งองค์ ด้านหลังองค์พระจะเห็นผงวิเศษเต็มไปหมด แต่น่าเสียดายที่อาจารย์ได้ทำหายไปแล้ว

หลังจากสนทนากับอาจารย์จบลง ผมก็ได้ขึ้นไปเพื่อจะกราบลารูปหล่อหลวงปู่แสงบนวิหาร ลุงที่ดูแลเฝ้าวิหารได้เข้ามาสนทนาด้วยและเสนอพระเครื่องให้ผมเช่า ผมดูแล้วก็ปฏิเสธไป ลุงนำพระองค์สุดท้ายออกมาให้ผมดู ด้านหน้าเป็นรูปหลวงปู่แสง ด้านหลังเป็นรูปเจดีย์ที่ท่านสร้าง มีผงวิเศษกระจายอยู่ด้านหลังองค์พระ ตามที่อาจารย์หญิงท่านนั้นเล่าให้ผมฟังทุกอย่าง ผมถามลุงว่าเท่าไหร่ ลุงบอก ๑,๕๐๐ บาท ผมเลยได้มาบูชา

จากวัดมณีชลขันธ์ ผมได้ข้อมูลว่ามีวัดพรหมรังษีอีกวัดหนึ่ง เห็นชื่อเกี่ยวข้องกับสมเด็จโต จึงได้เดินทางไป ได้หนังสือ  "กว่าจะมาเป็นเจ้าคุณ ที่ระลึกงานฉลองสมณศักดฺิ์พระราชทาน พระราชาคณะชั้นสามัญ พระพิพัฒน์คณาภรณ์ (ทองหล่อ) เจ้าอาวาสวัดพรหมรังษี เจ้าคณะอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗" มีบทความน่าสนใจยิ่งหนึ่งบท "อภินิหารของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี) เกี่ยวกับการสร้างวัดพรหมรังษี เขียนโดย พลตรี สมาน วีระไวทยะ ความโดยย่อมีดังนี้

เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๐๖ เวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น.หลังจากที่พลตรีสมานได้สวดมนต์ในตอนเช้าเสร็จแล้ว ก็ได้ทำจิตใจให้สงบอยู่ในสมาธิ ขณะนั้นปรากฎภาพหลวงพ่อสมเด็จโตขึ้นในสมาธิอย่างชัดเจน เมื่อเห็นดังนั้น จึงก้มกราบ ๓ ครั้ง ครั้นแล้วจึงกราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อสมเด็จมานี่ต้องการจะใช้ลูกทำอะไรหรือครับ

สมเด็จโต "ต้องการจะให้ไปหาเจ้าคุณเทพเมธากร เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์และให้บอกเขาว่า ให้ช่วยเอาเป็นธุระในการสร้างวัดให้หลวงพ่อเสียที เพราะเขารับปากไว้นานแล้ว แต่ไม่ได้ลงมือทำให้จริงๆ อีกเรื่องคือ จอมพลสฤษดิ์ บอกเขาด้วยว่า ข้าสั่งมาให้บอกว่า อย่าไปพูดกับใครว่า จอมพลสฤษดิ์ไม่ตาย ถ้าเขาพูดเขาจะเสีย ข้าเสียดายคนดีๆไม่อยากให้เสีย"

พลตรีสมาน "สร้างวัดอะไร วัดที่ไหน ใครเป็นคนสร้างและสร้างกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลูกยังไม่ทราบเรื่องเลย และเรื่องที่จะให้ไปบอกท่านเจ้าคุณว่า จอมพลสฤษดิ์จะต้องตายอย่างแน่นอนและตายเร็วที่สุด น่ากลัวจะบอกไม่ได้ เพราะมันอันตรายต่อชีวิตลูกและครอบครัว แล้วลูกก็ไม่สนิทกับเจ้าคุณเทพเมธากรด้วย"

สมเด็จโต " เมื่อหลายปีก่อนข้าได้เคยติดต่อเจ้าสุรพงษ์ ให้ช่วยสร้างวัดในพื้นที่เดิมเรียกว่า ดงพญาไฟ ปัจจุบันเรียกว่า นิคมสร้างตนเอง พระพุทธบาท สระบุรี เป็นพื้นที่ๆอยู่อาศัยของพวกวิญญาณและภูติผีปีศาจเป็นจำนวนมาก ข้าได้ทำรุกขมูลเดินธุดงค์เข้าไปและได้พบพระอาจารย์หลวงพ่อแสง ผู้มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ ทั้งเป็นหมอศักดิ์สิทธิ์ด้วย โดยเฉพาะรักษาโรคอันเกิดจากสัตว์ที่มีพิษขบกัด รวมทั้งโรคฝีเนื้อร้าย โรคฝีสะบาย โรคมะเร็งต่างๆได้มากมาย เพียงใช้พระคาถาว่า ระโชหะระนัง ระชังหะระติ เท่านี้ก็ป้องกันและรักษาโรคได้หลายชนิด แต่สำคัญที่ใจมั่นเท่านั้น ถ้าจิตไม่มั่นแม้นคาถาจะวิเศษสักเพียงใด จะศักดิ์สิทธิ์ก็หาไม่ ตลอดเวลาที่ข้ากับท่านอาจารย์แสงนั่งสมาธิ ปฏิบัติทางจิตอยู่นั้น มีวิญญาณเป็นอันมาก ได้ผลัดเปลี่ยนกันมาหาไม่ขาดสาย บ้างก็ขอให้ช่วย บ้างก็ขอให้โปรด บ้างก็มาขอฟังธรรม บ้างก็มาขอส่วนบุญ และส่วนมากมาขอให้แผ่เมตตาให้ ซึ่งท่านอาจารย์แสงและข้าเองก็ช่วยทำกันอยู่ทุกวันนับเป็นเดือนๆ ซึ่งดวงวิญญาณเหล่านั้นก็ได้รับผลตามความมุ่งมาดปรารถนา บางดวงก็ได้จุติในที่ต่างๆ ที่ไปเกิดก็มีไม่น้อย แต่ที่ยังต้องรับกรรมทรมานอดอยากอยู่ในนั้นก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมากมาย ข้าจึงพิจารณาว่า น่าจะสร้างเป็นพระอารามขึ้น เพราะจะทำให้บรรดาดวงวิญญาณเหล่านั้นได้มีโอกาสสร้างกุศล ละอกุศล สร้างความสงบ กับทั้งทำให้ที่บริเวณนี้กลายเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ แต่ในสมัยที่ข้ามีชีวิตอยู่การไปมาสู่บริเวณดงพญาไฟนี้ยากลำบากมาก แต่ข้าก็ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า "วันข้างหน้าในอนาคต ข้าจะพยายามหาโอกาสมาสร้างพระอารามลงไว้ภายในที่แห่งนี้ให้จงได้"

 "เวลาได้ล่วงไปเกือบ ๑๐๐ ปี จึงได้มีถนนพอที่จะเห็นหนทางให้เข้าถึงสถานที่นั้นได้ ข้าจึงไปบอกลูกสุรพงษ์ให้ไปชวนเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์ด้วย แต่เจ้าคุณเทพฯเขายังไม่ได้เต็มใจช่วยทำเท่าใดนัก จึงมาบอกให้เจ้า (พลตรีสมาน)ช่วยไปบอกเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์เขาอีกทีหนึ่ง ว่าขอให้เขาตั้งเจตนาทำให้ข้าหน่อย เขาจะแปลกใจถ้าเจ้าไปพูดเพราะเพิ่งรู้จักกัน ทำไมถึงทราบเรื่องเหล่านี้ได้ อีกทั้งท่านก็เป็นลูกศิษย์สมเด็จสังฆราชสา ข้ายังไม่กล้าละลาบละล้วงไปใช้ลูกศิษย์ของท่านสมเด็จพระสังฆราชได้ตามใจชอบ อนึ่งเจ้าเองก็คงไม่รู้ว่าสมเด็จพระสังฆราชท่านยังอยู่ในวัดราชประดิษฐ์ ท่านนั่งอยู่ที่พระเจดีย์หลังพระอุโบสถวัดราชประดิษฐ์ เขาหล่อพระรูปท่านไว้ เมื่อเจ้าไปก็ควรไปถวายนมัสการท่านไปกราบไหว้แสดงความเคารพ


พลตรีสมานจึงกราบลง ๕ ครั้ง แล้วรีบออกจากห้องพระไปพบกับท่านเจ้าคุณเทพเมธากร  นำเรื่องต่างๆที่สมเด็จโตสั่งมาไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณฯ ซึ่งท่านประหลาดใจมากและยอมรับว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ตอนเย็นวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ เวลา ๑๗.๐๐น. ทางราชการก็ประกาศว่า จอมพลสฤษดิ์ ถึงอสัญกรรม 

 คุณสุรพงษ์ ตรีรัตน์และภรรยา ซึ่งมีความเลื่อมใสในสมเด็จโตอย่างยิ่ง ได้รับการติดต่อจากสมเด็จโตโดยผ่านทางคุณวีระ ว่าขอให้ไปขอความช่วยเหลือจากพระเทพเมธากร เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์ ให้ช่วยสร้างวัดพรหมรังษี (วัดศรีวิไลพรหมรังษี) เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๓ คุณสุรพงษ์กับครอบครัวและคณะได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณเทพเมธาการ ไปยังพื้นที่ตำบล ซึ่งจะสร้างวัด โดยคุณสุรพงษ์ได้กำหนดฤกษ์ยกป้ายวัดให้ชื่อว่า วัดศรีวิไลพรหมรังษี ขึ้นเป็นครั้งแรก

ต่อมาประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๗ คุณสุรพงษ์ ตรีรัตน์ ได้ไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณพระเทพเมธากร ว่าสมเด็จโตได้ไปบอกกับคุณสุรพงษ์ โดยผ่านทางคุณวีระ (ประทับทรง)ว่า ขณะนี้ท่านได้แบ่งงานไปให้ลูกศิษย์คนอื่นช่วยทำในการสร้างกุศล (สร้างวัดพรหมรังษี) บ้างแล้ว และลูกศิษย์คนนั้นชี่อสมาน ถ้าอยากรู้ให้ไปถาม เจ้าคุณเทพฯเขาดู ท่านเจ้าคุณฯจึงได้เล่าเรื่องที่พลตรีสมานไปบอกท่านว่า สมเด็จโตให้ไปช่วยสร้างวัดพรหมรังษี ซึ่งเป็นเรื่องแปลกในข้อที่ว่าคนสองคน ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มาทราบเรื่องเดียวกันตรงกันโดยสมเด็จโตเองที่เป็นผู้ติดต่อให้ศิษย์ทั้งสองฝ่ายได้ทราบ

ต่อมาสมเด็จโตได้สั่งการผ่านทางสมาธิของพลตรีสมานซึ่งสามารถติดต่อท่านได้ ให้คุณหิรัญ สูตะบุตร อธิบดีกรมสรรพากร เป็นประธานคณะดำเนินการจัดสร้างวัดทางฝ่ายฆราวาส ฝ่ายสงฆ์ให้ท่านเจ้าคุณพระเทพเมธากร เป็นประธาน กลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๗ ได้มีการประชุมเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนปริยัติธรรม วัดราชประดิษฐ์ โดยมีท่านเจ้าคุณฯเป็นประธาน มีผู้เข้าร่วมประชุม ๒๕-๓๐ คน เช่น อธิบดีหิรัญ สูตะบุตร คุณสุรพงษ์ ตรีรัตน์ คุณบัญญัติ สุขารมณ์ คุณสาย รัตนสมบัติ เป็นต้น โดยท่านเจ้าคุณฯได้เล่าถึงความเป็นมาในการจะสร้างวัดพรหมรังษีโดยย่อๆให้ฟังและชี้แจงแผนและวิธีดำเนินการ

 ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๗ คณะของท่านหิรัญ สูตะบุตรและมีพลตรีสมานร่วมอยู่ด้วยได้เดินทางไปวัดพรหมรังษี หลงทางอยู่นาน จนไปสอบถามเจ้าคณะจังหวัดฯไปถึงวัดเวลาประมาณ ๑๔.๓๐ น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑ ชั่วโมงกับ ๓๐ นาที สำหรับระยะทางประมาณ ๒๖-๓๐ กิโลเมตร ไปถึงท่านอธิบดีหิรัญก็นึกสงสัยทำไมสมเด็จโตจึงมาเลือกบริเวณนี้เป็นที่สร้างวัด เพราะอยู่ในป่าไกลจากคมนาคมมาก อยากจะพบพูดคุยกับท่าน จึงขอร้องให้พลตรีสมานอัญเชิญท่านมา ปกติพลตรีสมานไม่ได้กระทำต่อหน้าคนหมู่มาก แต่คณะร่วม ๒๐ คนขอร้องจึงจำเป็นต้องทำ พลตรีสมานเริ่มอาราธนาสมเด็จโตตามพิธีการที่ท่านได้สั่งสอนไว้ โดยทำจิตให้เข้าสมาธิอย่างสูง ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะติดต่อกับท่านได้ เพราะท่านเคยพูดเสมอว่า " ไม่ว่าลูกคนใดก็ตาม ถ้าจะติดต่อกับหลวงพ่อ จะต้องเข้าอยู่ในสมาธิขั้นสูงเสมอ หากจิตไม่สงบไม่มีสมาธิแล้ว จะติดต่อกับหลวงพ่อไม่ได้เป็นอันขาด แม้ในระหว่างติดต่ออยู่ ถ้าสมาธิตกไป การติดต่อก็จะขาดทันที ไม่อาจพูดจากันให้ได้ยินหรือรู้เรื่องกันได้"

เมื่อติดต่อได้แล้ว สมเด็จโตได้บอกว่า "อีกหน่อยหลวง (รัฐบาล) เขาจะตัดถนนใหญ่ผ่านหน้าวัดข้านี่แหละและถนนนั้นจะผ่านจากทิศใต้ไปเหนือ" แล้วท่านก็ชี้ให้ดูทางที่ถนนผ่านไป ซึ่งยังเป็นป่าอยู่และมีทางเกวียนเก่าๆเส้นหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว บังเอิญ กำนันจิต กำนันตำบลดีลัง อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ซึ่งมีบ้านอยู่ที่ ตลาดดีลัง ริมถนนสาย ๒ ซอย ๑๒ ได้มารวมอยู่ในที่นั้นด้วยและเป็นลูกถิ่นนั้นมานาน พูดออกมาโดยไม่เชื่อถือว่า "โอ้ย เป็นไปไม่ได้หรอก ที่หลวงจะตัดถนนเข้ามา มีแต่ภูเขาเลากาซ้อนกันมากมาย ผมมีหน้าที่ปกครองลูกบ้านและท้องถิ่นแถบนี้ ไม่มีข่าวใดๆ ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด" สมเด็จโตเลยบอกให้รอดู เพราะในอนาคตเมื่อมีถนนตัดตรงผ่านหน้าวัดนี้ไปแล้ว ตรงสี่แยกที่มุมวัดซึ่งเป็นทางผ่านกันกันระหว่างถนนสาย ๓ ซอย ๑๒ กับถนนเส้นใหม่นี้ จะกลายเป็นตลาดใหญ่หรือกลายเป็นเมืองเล็กๆได้อีกเมืองหนึ่งทีเดียว (ปัจจุบันเป็นจริงทุกประการ)

จากนั้นสมเด้จโตได้พูดต่อว่า "ให้ทุกคนฟังและจดเอาไว้ ถึงแบบแปลนการสร้างพระอุโบสถ วิหาร โรงเรียน ศาลาการเปรียญ พระเจดีย์ใหญ่ กุฏิพระภิกษุ ขุดสระโบกขรณี รอบสระให้ปลูกต้นไม้ใหญ่ เช่นต้นหูกวาง ต้นประดู่ เพื่อร่มเงาพักร้อน ภายใต้ต้นไม้ให้สร้างเรือนเล็กๆมีห้องน้ำและห้องส้วมเพื่อใช้สำหรับผู้บำเพ็ญทางจิตทำสมาธิ ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ให้รอบสระน้ำนั้น หอระฆัง โรงเรียนพระปริยัติธรรม รั้วเขตของวัดควรปลูกต้นกระถินเพื่อใช้เป็นอาหารของมนุษย์ได้ ถ้าสามารถปลูกต้นมะม่วง ขนุน ลำไย ชมพู่หรือไม้ผลจะดีมาก เพราะต้องการให้เป็นทานแก่คนที่เขาต้องมาพึ่งพาอาศัย" โดยให้คุณโชติ กัลยาณมิตร ปริญญาโทสถาปัตยกรรม จากสหรัฐอเมริกาเป็นคนออกแบบ โดยให้เริ่มก่อสร้างพระอุโบสถก่อน ให้หันหน้าพระอุโบสถไปทางทิศตะวันออก  ซึ่งต่อไปถนนใหญ่เป็นเส้นหลักจะผ่านมาทางนั้น คุณหิรัญพูดขึ้นว่า "สงสัยเรื่องสร้างโบสถ์ ที่ให้ปลูกหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น ขณะนี้เป็นป่าอยู่ เกรงคนเขาจะตำหนิเอาว่าสร้างโบสถ์หันหน้าเข้าป่า" สมเด็จโตกล่าวว่า "ให้ทำ ก็ทำไปเถอะ อีกหน่อยก็ไม่มีป่าให้เห็นแล้ว จะกลายเป็นบ้านเมืองไปหมด" (ปัจจุบันเป็นจริงตามท่านกล่าวไว้ทุกประการ)

การทอดกฐินสำหรับวัดพรหมรังษีในปีแรก ก็เกิดเรื่องมหัศจรรย์ให้เห็นอภินิหารของสมเด็จโตอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๐๗ เหลือเวลาอยู่อีก ๗ วัน จะหมดกำหนดการทอดกฐินแล้ว ท่านเจ้าคุณเทพฯได้แจ้งให้พลตรีสมานทราบว่า ตามที่คุณสุรพงษ์ได้จองกฐินวัดพรหมรังษีไว้ ไม่สามารถจะทอดได้เสียแล้ว ด้วยคุณหญิงของคุณสุรพงษ์เดินทางไปต่างประเทศกลับมาไม่ทัน ขอให้จัดการหาคนอื่นทอดแทน ดังนั้นพลตรีสมานจึงได้เชิญคณะศิษย์สมเด็จโต  ท่านอธิบดีหิรัญ มาประชุมที่บ้านอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา (คุณบัญญัติ สุขารมณ์) โดยอัญเชิญสมเด็จโตเป็นผู้ตัดสินจะให้ใครเป็นประธานทอดกฐิน เพราะไม่มีใครกล้ารับ พอสมเด็จโตมาถึงท่านกล่าวว่า "เออ ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องบอก เอาละข้ามอบให้ลูกสมานเป็นประธาน" ทุกคนคิดว่าน่าจะมอบให้อธิบดีหิรัญ เพราะตำแหน่งหน้าที่ สมเด็จโตได้สอนว่าให้ทำสุดความสามารถใช้ทุนของตนเองให้หมดก่อนแล้วจึงคิดกู้ยืมจากคนอื่นเขามาลงทุนต่อ ท้ายสุดสามารถได้เงินรวมทั้งสิ้นถึง ๒๕๐,๐๐๐ บาทเศษ

คุณสุรพงษ์ได้ติดต่อสมเด็จโตกำหนดวันวางศิลาฤกษ์ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๐๘ คุณสุรพงษ์ได้ไปกราบนิมนต์สมเด็จพระสังฆราช (ป๋า) วัดโพธิ์ท่าเตียน ไปเป็นองค์ประธาน ก่อนถึงวันพิธีสัก ๓-๔ วัน สมเด็จโตได้มาติดต่อพลตรีสมานให้เข้าไปบอกบุญเจ้าคุณเทพฯ วัดราชประดิษฐ์ว่า ให้เขาเตรียมตัวเป็นประธานในการวางศิลาฤกษ์ บอกเขาว่าเป็นความประสงค์ของข้า จะให้เขาทำกับข้าก็แล้วกัน ไม่ต้องชี้แจงอะไรมาก บอกว่าข้าสั่งเจ้ามา

ต่อมาวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๘ ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ได้ฤกษ์กำหนดการวางศิลาฤกษ์สร้างตัวพระอุโบสถขึ้น ปรากฎว่าสมเด็จพระสังฆราช (ป๋า) ไม่สามารถไปเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ได้ จนกระทั่งได้เวลาฤกษ์ ก่อนหน้านั้นท้องฟ้าก็ยังสว่างอยู่ ปรากฎว่าท้องฟ้ามีเมฆฝนตั้งเค้ามา คุณวีระ (คนทรงประจำสมเด็จโต) ก็เกิดอาการสั่นเทิ้มไปทั้งตัว พระวิญญาณของสมเด็จโตเข้าประทับในร่างทรงของคุณวีระทันที อากับกริยาของคุณวีระเปลี่ยนจากปกติธรรมดาเป็นแก่หง่อม พูดเสียงสั่นว่า "อาตมาดีใจมาก ที่ท่านเจ้าคุณเทพมาในงานพิธีมหามงคลฤกษ์ในวันนี้ เพื่อการวางศิลาฤกษ์สร้างพระอุโบสถวัดของอาตมาและพวกลูกศิษย์ของอาตมา รวมทั้งเจ้าคุณด้วย อาตมาต้องการให้เจ้าคุณเป็นผู้วางศิลาฤกษ์แทนอาตมา เอาละนี่ก็ได้เวลาแล้ว ก็เป็นศุภมงคล อุดมฤกษ์ อาตมาขอนิมนต์เจ้าคุณเป็นคนวางศิลาฤกษ์เสียเดี๋ยวนี้เลย ส่วนอาตมาก็จะคอยดูอยู่จนกว่าจะเสร็จพิธี"  ตลอดเวลาที่ทำพิธีนั้น มีอสุนีบาตฟาดดังเปรี้ยงๆๆขึ้น ๓ ครั้งในอากาศ แต่มิได้ตกต้องลงมายังพื้นดิน ครั้นแล้วก็บังเกิดมีเมล็ดฝนโปรยลงมาค่อนข้างจะหนาเม็ด แต่ไม่ถึงกับตกจั๊กๆ พอให้ทุกคนเปียกเย็นชุ่มช่ำอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ

เมื่อการวางศิลาฤกษ์ผ่านพ้นไปแล้ว ก็มาถึงการก่อสร้างตัวพระอุโบสถ ภายใต้การอำนวยการ ควบคุมกำกับดูแลของ ท่านเจ้าคุณเทพฯ คุณรังสี ศรีไชยยันต์และคุณโชติ กัลยาณมิตร สถาปนิกมหาบัณฑิตจากสหรัฐอเมริกา ปัญหาที่พบคือ ขาดน้ำใช้ในการก่อสร้าง ไปซื้อน้ำมาใช้อยู่ได้ไม่นานนัก เพราะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากเกินไป คณะศิษย์เห็นควรอัญเชิญสมเด็จโตมาให้ความช่วยเหลือแก้ปัญหานี้อีกครั้ง "พวกเจ้าลองมองไปดูทางทิศตะวันออกของศาลานี่ เห็นต้นไม้โตขนาดแขนขา ๒-๓ ต้นกลุ่มนั้นไหม ที่ตรงนั้นแหละมีน้ำ ถ้าเจ้าขุดเจาะลึกลงไปไม่ถึง ๘ วา เจ้าได้น้ำมาหนหนึ่งแล้ว แต่ขณะนี้น้ำมันแห้งหมดไป เขาเลยทิ้งให้เป็นบ่อร้าง เพราะมันขุดไม่ลึกพอ ขุดลึกลงไปอีก ๒-๓ วา ก็จะถึงนาน้ำซับอีกชั้นหนึ่ง คราวนี้จะได้น้ำมากจนพอต่อความต้องการทีเดียว และต่อจากชั้นนั้นลงไป ก็จะเป็นหินดานลึกสัก ๔-๕ วา ถ้าเจาะหินดานทะลุลงไปได้จะได้นำ้ใช้กันเท่าใดก็ไม่รู้จักหมด เพราะหินดานมันปิดกั้นแอ่งน้ำ แต่ขั้นนี้เอาเพียงแค่ใช้ก่อสร้างก่อน เมื่อสร้างวัดเสร็จค่อยคิดหาเครื่องจักรกลมาทำกัน กำนันจิต ซึ่งอยู่ที่นั่นด้วยได้พูดขัดขึ้นว่า " ไม่มีน้ำหรอกครับในบ่อนั่น เพราะน้ำมันแห้งมานานแล้ว เขาจึงทิ้งเป็นบ่อร้าง ขุดลงไปเสียแรงงาน ค่าคนขุด ปากบ่อก็แคบ เกิดบ่อพังทับคนขุดตาย น้ำก็ไม่ได้" สมเด็จโต " เจ้านี่อวดรู้ก่อนเกิด เจ้าคิดว่าน้ำไม่มี เหมือนที่เจ้าเคยเถียงข้าเรื่องการสร้างถนนใหญ่ผ่านหน้าวัดข้า ต่อไปภายหน้าเจ้าจะเสียใจที่เจ้าไม่เชื่อข้า" 

ต่อมาก็ปรากฎความจริงตามที่สมเด็จโตได้กล่าวไว้ทุกประการคือ

๑ เรื่องน้ำ ขุดเจาะบ่อเดิมเก่า ทำให้ได้น้ำมาใช้มากมาย ทั้งพระเณรในวัดและผู้คนในบริเวณนั้น
๒ เรื่องถนนใหญ่ผ่านหน้าวัดพรหมรังษี คือทางหลวงสายสระบุรี (พุแค)-หล่มสัก ได้ตัดผ่านหน้าวัด ห่างจากวัดเพียง ๒๐๐ เมตรเท่านั้น
๓ เรื่องตลาดที่สี่แยกดีลังหน้าวัด แต่ก่อนเป็นป่า ขณะนี้กลายเป็นตลาดใหญ่ ค้าพืชผลทางเกษตรกรรม มีตึก ๓ ชั้น มีปั๊มน้ำมัน ๓ ปั๊ม ทำเอากำนันจิตเสียดายและเสียใจ ที่ไม่มีที่ติดถนนใหญ่เลยแม้แต่แปลงเดียว

ในคราวยกช่อฟ้าอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงยกช่อฟ้าอุโบสถ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๕




*******ตามล่าหาความจริงในปีพ.ศ. 2552



ผมก็ยังไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาเหมือนเดิม พอไปถึงท่านก็ทักว่า " ได้พระอะไรมาอีกละ่" ผมตอบไปว่า "ไม่เห็นได้อะไรเลยครับ" พอพูดจบนึกขึ้นได้ บอก "อ่อ ได้" ท่านบอกว่า "ยังไม่ต้องพูด เพราะที่ได้ เป็นพระบูชา มีขี้กรุจับที่องค์พระใช่ไหม" ถูกต้องเลยครับ เป็นพระที่ผอ.อรรถภูมิได้มาจากกรุวัดบางขุด สมุทรสงคราม หลวงพ่ออ้นเป็นผู้สร้าง ผมจึงถามท่านว่า "วิชาโหราศาสตร์มีทำนายอย่างนี้ด้วยเหรอ มันเป็นอย่างไรท่านถึงได้ทายถูกขนาดนี้ กับคนอื่นๆมีแบบผมบ้างหรือไม่" ท่านตอบว่า "เขียนเลขแล้ว เห็นตัวเลข เป็นไฟวาบๆขึ้นมา ก็เลยทำนายไป แต่ก็แปลกนะมีโยมอมรคนเดียวที่เป็นแบบนี้ คนอื่นๆมาหาก็ไม่มีแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะโยมอมรสร้างมาก่อน เป็นบุญวาสนาเดิมของโยมอมร" ผมกลับมานั่งคิด พระท่านคงมาเตือนผมว่า อย่าทำชั่วนะ ให้ทำแต่ความดี


พระปางมหาจักรพรรดิ์ หลวงพ่ออ้น กรุวัดบางขุด สมุทรสงคราม




********ตามล่าหาความจริงในปีพศ. 2553


ผมก็ยังวนเวียนเข้าออกอยู่ในวงการพระเครื่อง เพื่อแสวงหาความจริงเกี่ยวกับการดูพระสมเด็จ ทั้งหาหนังสืออ่าน ทั้งพูดคุยกับเซียนต่างๆหลายคนหลายแหล่ง จนวันหนึ่งนั่งคุยอยู่กับต้อย เมืองนนท์ ต้อยได้หยิบพระสมเด็จวัดระฆัง บางขุนพรหม เกศไชโย มาจากเซพภายในร้านประมาณ 10 กล่อง เกือบ 100 องค์ ให้ผมดูให้ผมส่อง พร้อมอธิบายประกอบ เมื่อผมเห็นพระสมเด็จจำนวนมากถึงเพียงนี้ ผมรู้ถึงความแตกต่างที่เคยเห็นมาอย่างชัดเจน เนื้อหามวลสารมันแตกต่างจากที่เห็นในตลาดหรือที่เห็นทั่วๆไปอย่างมากๆ จึงได้เข้าใจว่า ทำไมพวกเซียนถึงถูกด่าถูกว่า มีแต่ของพวกมันเท่านั้นที่แท้ ของคนอื่นปลอมหมด ไม่ใช่ ผิดพิมพ์ผิดเนื้อ นอกจากต้อย เมืองนนท์จะนำพระสมเด็จมาให้ผมดูเปิดหูเปิดตามากถึงเพียงนี้ ต้อยยังบอกผมอีกว่า จะมีการประกวดพระเครื่องที่หอประชุมกองทัพเรือ ถนนอรุณอมรินทร์ พี่ไปนั่งอยู่กับผมในโต๊ะกรรมการ ผมจะให้พี่ได้ศึกษาไปด้วย บางองค์ต้อยสอนผมว่า " ดูองค์นี้ มีส่วนจริงอยู่ส่วนเดียวอีกสองส่วนปลอม" จนต่อมาผมมานั่งครุ่นคิดถึงเนื้อหามวลสารของสมเด็จวัดระฆังที่เซียนเขาเล่นหาและยอมรับกันในวงการว่า มีส่วนผสมของสารประกอบ อะไรบ้าง ในที่สุดผมคิดออก ผมได้นำเนื้อหาและมวลสารที่ผมทำขึ้นมาเอง ไปให้หมู่เซียนในวงการได้พิจารณา โดยอ้างว่า เป็นพระสมเด็จชำรุด ไม่เห็นองค์พระแล้ว เหลือแต่เนื้อหามวลสาร ทุกเซียนบอกเป็นเสียงเดียวว่าน่าเสียดาย เพราะเป็นเนื้อพระสมเด็จแท้ จะไม่แท้อย่างไร เพราะผมผสมกับมือผมเอง


*********ตามล่าหาความจริงในปีพ.ศ.2554


มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งได้โทรมาหาผมพร้อมแนะนำตนเองว่าชื่อ ศิริวรรณ วิบูลย์มา กำลังทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง "นัยสัญลักษณ์พระสมเด็จฯ : การถอดรหัสทางพุทธศิลป์และความหมายทางสังคมวัฒนธรรมของพระพิมพ์สกุลสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)" โดยได้ไปสัมภาษณ์ต้อย เมืองนนท์มาแล้ว มีบางคำถามได้ถามอาจารย์ต้อย เมืองนนท์ แล้ว อาจารย์ต้อยบอกว่าถ้าถามแบบนี้ให้ไปคุยกับพี่อมรจะดีกว่า จึงขอนัดวันสัมภาษณ์ผม

จากคำสัมภาษณ์ อาจารย์ศิริวรรณถามว่า "จริงหรือไม่ว่าพระสมเด็จ แต่ละพิมพ์ทรง มาจากพระพุทธรูปยุคต่างๆกัน เช่น สุโขทัย อู่ทอง อยุธยา เป็นต้น " ผมก็ตอบไปว่า "บางตำรา เขาก็อ้างเช่นนั้น " แต่เมื่อแยกย้ายจากการพูดคุยสนทนากันอย่างกว้างขวางว่า ทำไมมาทำวิทยานิพนธ์ถึงระดับปริญญาเอกในเรื่องของสมเด็จโตแล้ว ผมกลับมาบ้านก็ครุ่นคิดถึงคำถาม ของอาจารย์ศิริวรรณว่า ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีพระพุทธรูปองค์สำคัญ องค์ใดบ้าง ขณะที่ผมยืนอยู่ที่บันไดบ้านชั้นบน มองไปที่รูปพระพุทธรูปที่ได้รับจากผอ.อรรถภูมิ มาเมื่อตอนปีใหม่และภรรยาได้นำมาแขวนประดับติดผนังฝาบ้านไว้ ผมได้มองไปที่ภาพอย่างที่ไม่เคยพิจารณามาก่อนตั้งแต่วันที่ได้รับมา ปรากฎมีข้อความว่า "พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4" ผมขนลุกท่วมตัว เพราะมองไปที่พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ของผม ที่ได้ไปถ่ายรูปและแขวนโชว์เอาไว้ในที่ใกล้เคียงกัน เป็นพิมพ์ทรงเดียวกัน

นี่คือกุญแจดอกสำคัญที่ผมแสวงหามา 20ปี ว่าพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ทรงปรกโพธิ์มีหรือไม่ ถ้ามี ทำไมถึงมีน้อย 


พระพุทธรูปประจำพระชนมาวาร ร.4



**********ตามล่าหาความจริงปีพ.ศ.2555

ผมไปกราบพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมา ที่คณะ 2 วัดปรินายก เหมือนเดิม แต่วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่า เพราะอะไรพระอาจารย์หลวงพ่อฯถึงได้ทำนายทายทักได้แม่นยำถึงเพียงนี้ ไม่ใช่เพราะตำราหมอดู แต่เป็นเพราะท่านทำสมาธิได้ถึงฌาน 4 ถึงจุดพลังอำนาจ ตามที่ผมได้เรียนรู้จากพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ วัดธรรมมงคล ในหลักสูตรครูสมาธิ ที่ผมใช้เวลาไปเรียนมาเป็นเวลา 6 เดือนในปีพ.ศ.2553นั่นเอง ซึ่งถ้าใครทำสมาธิได้ถึงจุดพลังอำนาจนี้ จะสามารถดำเนินการต่อได้ 2 สาย สายทางโลก มี 6วิชา คือ 1มโนมยิทธิ 2 อิทธิวิธี 3ตาทิพย์ 4 หูทิพย์ 5 ระลึกชาติได้ 6 ล่วงรู้จิตใจคนอื่น สำหรับสายทางธรรมคือ 1 วิปัสสนาญาณ 2 อาสาวักขยญาณ

ผมได้เรียนถามท่านว่า ท่านได้ฌาน4แล้วใช่ไหม ท่านไม่ตอบแต่ก็อมยิ้ม ผมถามว่า " คนอื่นที่มาพบท่าน มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระเครื่องเหมือนผมหรือไม่ "ท่านบอกว่า " ก็แปลกนะ มีโยมอมรคนเดียว น่าจะเป็นเพราะบุญบารมีเดิมที่ได้ทำเอาไว้" จากนั้นท่านก็พูดขึ้นว่า "บางคนเล่นหาพระสมเด็จมาทั้งชีวิต เพื่อแสวงหาพระสมเด็จ ขอให้ได้เพียงครึ่งองค์หรือชิ้นส่วนเพียงชิ้นเดียวก็พอ แต่ก็ยังไม่ได้ เป็นที่น่าแปลก โยมอมรจะได้พระสมเด็จอีกนะ" ผมก็นึกอยู่ในใจ จะได้มาจากไหน เป็นไปได้อย่างไร

คืนนั้น ผมนอนฝันว่า มีคนบอกว่า " สมเด็จโตมาหา" ผมถามว่า "มาหาทำไม" เขาบอกว่า" ก็คุณเป็นลูกศิษย์ของท่าน" ผมถามว่า " จริงเหรอ ท่านอยู่ที่ไหน" เขาบอกว่า " อยู่หน้าห้องนอน" ผมวิ่งไปดูที่หน้าห้องนอนแต่ก็ไม่พบท่าน จากนั้นก็ตื่นจากความฝัน เช้ามาก็นั่งทบทวนถึงความฝัน หน้าห้องนอนเป็นโต๊ะหมู่บูชา มีพระเครื่องที่มีคนนำมาปล่อยและขอยืมเงินไปสองหมื่นบาท แล้วก็หายหน้าไปเลย แต่เคยเอาไปให้เซียนดูเขาว่าไม่ใช่ทั้งหมด ก็หยิบขึ้นมาพิจารณา 1องค์ สภาพพระใหม่ ผิวขาวโพลนไปทั้งองค์แต่มีลักษณะคล้ายพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ที่มีอยู่ จึงนำไปแช่ในแก้วกาแฟใส่น้ำร้อน แล้วนั่งสมาธิไปครึ่งชั่วโมง เมื่อออกจากสมาธิ หยิบพระขึ้นมาดู เพราะแช่น้ำร้อนทำให้แป้งโรยพิมพ์และฝุ่นผงลอยออกจากหน้าพระหมด นี่พระสมเด็จพิมพ์ทรงปรกโพธิ์ บล๊อคเดียวกับที่มีอยู่แล้ว 2 องค์นี่ หยิบมาดูมาส่องแล้วส่องอีก แล้วนำมาใส่ตลับลองห้อยดูปรากฎมวลสารลอยเด่นออกมาให้เห็น จึงนำพระในกลุ่มนี้มาส่องดูอีก เลือกได้อีกหนึ่งองค์ฝุ่นผงดำจับเต็มหน้าองค์พระ ทำเหมือนเดิมแช่น้ำร้อน แล้วนั่งสมาธิไปอีกครึ่งชั่วโมง ออกจากสมาธิ พิมพ์ปรกโพธิ์ วัดบางขุนพรหมชัดๆ 

เพื่อให้แน่ใจ นำพระไปให้ต้อย เมืองนนท์ดู ต้อยส่องแล้ว ต้อยบอกว่า "องค์หนึ่งเป็นพระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ อีกองค์เป็นพระสมเด็จ กรุบางขุนพรหม พิมพ์ปรกโพธิ์เหมือนกัน " แล้วต้อยก็ถามผมว่า "ถามจริงๆ พี่ได้มาจากไหน พิมพ์ปรกโพธิ์นี่หายากมากๆ แต่พี่ก็มีแต่ปรกโพธิ์ ผมชักสงสัยพี่แล้ว"


พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์






พระสมเด็จกรุวัดบางขุนพรหม พิมพ์ปรกโพธิ์



วันเสาร์ที่ 8 กันยายน 2555 ผมไปยืนบรรยายหัวข้อ "สัมมาสมาธิ"ที่อาคารทิปโก้ ริมคลองประปา เมื่อการบรรยายช่วงเช้าจบลง คุณนพพร เทพสิทธา (รองประธานอาวุโส บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง มหาชน) ผู้ริเริ่มและเชิญผมไปบรรยายในโครงการนี้เดือนละครั้งๆละ 2วัน คือเสาร์และอาทิตย์ ได้เดินเข้ามาและบอกว่าผู้เข้ารับการอบรมท่านหนึ่งได้ฟังการบรรยายของผมแล้ว ได้ถอดพระออกจากคอเพื่อมอบให้อาจารย์อมร เป็นพระสมเด็จ วัดขุนอินทประมูล อ่างทอง ทำให้ผมเกิดปีติน้ำตาคลอในวันนั้น เพราะนึกถึงพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาทำนายไว้ว่า " คนอื่นเล่นหาพระสมเด็จมาทั้งชีวิต แม้เพียงครึ่งองค์ก็ยังหาไม่ได้ แต่โยมอมรจะได้พระสมเด็จอีก" นอกจากนี้ยังนึกถึงพี่อ้อย ลูกค้าสมัยเป็นผู้จัดการสวนพลู เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อของพี่อ้อย(ตอนพี่อ้อยเล่าอายุ 75ปี) เคยบวชอยู่กับท่านแนบ (พระธรรมทานาจารย์ จันทโชติ แนบ สิงหเสนี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสที่วัดระฆังฯ บอกคุณพ่อของพี่อ้อยไว้ว่า "สมเด็จโต พูดเพราะ จ๊ะจ๋าแทบทุกคำ ท่านเคยพูดไว้ว่า คนใดมีศีล มีธรรม มีสมาธิ จะได้พระของฉันไว้ใช้นะจ๊ะ" ผมมาทราบภายหลังว่า คนที่ถอดพระออกจากคอและมอบให้ผมในวันนั้นชื่อ ชัพวิชญ์ เอี่ยมทวีสิน (ชื่อเล่น ก๊า) เคยทำงานกับคุณนพพร ทราบว่าจัดการอบรมหัวข้อ สัมมาสมาธิ ก็เลยมาฟัง ฟังแล้วรู้สึกบอกไม่ถูก อยากมอบพระให้ผู้บรรยาย ผมในฐานะผู้รับมอบก็นึกถึงคำทำนายทายทักของพระอาจารย์หลวงพ่อกิตติมาที่ว่า "คนเล่นพระเครื่องมาทั้งชีวิต อยากได้พระของสมเด็จโตสักครึ่งองค์ ก็ยังดี แต่แล้วก็ไม่ได้ แปลกนะโยมอมรจะได้พระของสมเด็จโตอีก " สรุปแล้วจากคำทำนายครั้งนี้ ผมได้พระรวม ๓ องค์ คือพระสมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์ ๒ องค์ องค์แรกวัดระฆัง องค์ที่๒ วัดบางขุนพรหม องค์ที่ ๓ กรุวัดขุนอินทรประมูล ทำให้ต้องคิดว่าพระสมเด็จกรุวัดขุนอินทรประมูล น่าจะเป็นพระที่สมเด็จโตสร้างไว้


พระสมเด็จกรุวัดขุนอินทประมูล พิมพ์ใหญ่

ตามล่าหาความจริงปีพ.ศ.๒๕๕๖

กขคง









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น